อีสา ชีวิตของเธอผ่านความชอกช้ำมามากมาย หวังเพียงสิ่งเดียว ได้พบหน้าลูกชายที่พลัดพรากตั้งแต่แรกลืมตาดูโลก
อีสา เป็นเรื่องราวของ สา หรืออุษาเป็นลูกทาสที่เกิดและโตในวังของหม่อมเจ้าโชติช่วงงระวี รวีวาร ที่แม้จะมีการเลิกทาสแล้วแต่บรรดาทาสหลายคนซึ่งไม่มีที่จะไปก็ยังสมัครใจอยู่ใต้บารมีท่านเป็นสิบ ๆ คน สาเกิดมาไม่มีพ่อ และแม่ก็ตายหลังสาเกิดเพียงสองวัน สาจึงเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของป้าเจิม อดีตทาสที่อาวุโสสูงสุดในวัง เมื่อสาอายุได้สิบสองปีป้าเจิมก็พาสาไปฝากตัวไว้กับหม่อมนิ่มหม่อมน้อย ให้ช่วยฝึกหัดขัดเกลา
จนสาเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นที่เรียนรู้เรื่องของการวางตัวอย่างผู้ดี และยังได้หัดรำละครอีกด้วย สาแอบชื่นชมบูชาท่านชายมาตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่นจนวันหนึ่ง เมื่อสาอายุได้สิบหกปี หม่อมทั้งสองก็”ถวายตัว” สาให้กับท่านชาย ธรรมชาติสอนให้สาเรียนรู้ที่จะมีจริตจก้านตามวัย ทำให้ท่านชายลุ่มหลงในตัวสามากกว่าหม่อมคนอื่น ๆ
แต่ถึงกระนั้นสาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องให้เป็น “หม่อม” อย่างออกหน้าออกตา จนกระทั่งสาตั้งท้องและคลอดลูกชาย ซึ่งเป็นลูกชายคนแรกและคนเดียวของท่านชาย หม่อมพริ้มซึ่งเป็นหม่อมใหญ่ก็ได้โอบอุ้ม “คุณชาย” ไปเลี้ยงดูฟูมฟักเสมอลูกชายของตน ให้สาได้พบลูกบ้างเป็นครั้งคราวและเรียกลูกชายของตนเหมือนคนอื่น ๆ ว่า “คุณชาย”
หลังจากนั้นไม่นาน ท่านชายก็สิ้นพระชนม์ลง และจำเพาะต้องมาสิ้นลงในคืนที่สาเพิ่ง “ถวายงาน” เสร็จ ฐานะของสาที่ทำท่าว่าจะดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งหลังจากคลอดลูกชายก็ดูเหมือนจะตกต่ำลงไป ด้วยข้อหา “กาลกิณี หรือผู้หญิงกินผัว” ที่แม้สาเองก็ไม่รู้ความหมาย
หลังจากท่านชายสิ้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวัง ทั้งด้านผู้คนที่แยกย้ายกันออกไปเป็นบางส่วน ทั้งด้านสภาพบ้านเรือนที่รายรอบวัง
ในความเปลี่ยนแปลงนั้น สาก็ได้รู้จักกับสมศักดิ์ ชายหนุ่มรูปงามที่มีกิริยาท่าทีสุภาพอ่อนโยน สาหลงรักเขาโดยง่าย ด้วยวัยที่ยังเยาว์ และธรรมชาตในตัวอันลึกล้ำ แต่เป้าหมายของนายสมศักดิ์ไม่ได้อยู่ที่สา เขาเพียงอาศัยสาเพื่อเข้าถึงตัวคุณหญิงโสภาพรรณวดี ลูกสาววัยรุ่นของหม่อมพริ้มต่างหาก สานั้นชื่นชมนายสมศักดิ์จนถึงขั้นยอมตัวเป็นสะพานสื่อรักให้ แม้จะรู้ว่าผิดแต่เธอก็ทนแรงอ้อนวอนของนายสมศักดิ์ไม่ไหว ในที่สุดถึงกับพาคุณหญิงหนีตามนายสมศักดิ์ออกจากวัง ทั้ง ๆ ที่สาเองก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของท่านชายอยู่ด้วย
สาคลอดลูกคนที่สองเป็นผู้หญิง จึงยกให้เป็นลูกของคุณหญิงโสภาฯ กับนายสมศักดิ์ซึ่งคุณหญิงก็รักหนูน้อยมากเช่นกัน ตั้งชื่อให้ว่าโสภิตพิไล
สานั้นลึก ๆ รู้สึกผิดต่อคุณหญิงที่พาเธอมาตกต่ำจึงเฝ้าดูแลไม่ให้คุณหญิงต้องลำบาก แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะมีความสุขกันตามประสา แต่นานวันเข้า ทรัพย์สินที่คุณหญิงมีติดตัวมาเริ่มร่อยหรอ สาจึงออกหางานทำ และด้วยความที่เคยเป็นนางรำมาก่อน สาก็ได้งานแสดงละครเวทีกลายเป็นอุษาวดี – -นางละครผู้มีชื่อเสียงในเวลาไม่นาน
คุณหญิงโสภาฯ เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ และชืดชาในเรื่องบนเตียงจนนายสมศักดิ์เกิดความเบื่อหน่ายแม้จะยังรักคุณหญิงอยู่มาก แต่ความเห็นแก่ตัวมีมากกว่าวันหนึ่งนายสมศักดิ์ก็ย่องเข้าหาสาและได้เสียกัน สารู้สึกผิด แต่ด้วยแรงปรารถนาในใจก็ผลักดันให้สาดำดิ่งลงสู่ ห้วงแห่งดำกฤษณาอย่างยากที่จะถอนตัว จนวันหนึ่งคุณหญิงก็จับได้ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันคุณหญิงก็หายตัวไปและเสียชีวิตด้วยการจมน้ำตายในเวลาต่อมา
หลังงานศพคุณหญิง สาตัดสินใจแต่งงานกับนายวิทย์ นักดนตรีหนุ่มที่มาติดพันเธออยู่ในช่วงนั้นเพื่อหนีบาปในใจที่ตามหลอกหลอน นายสมศักดิ์เสียใจมากจนกินเหล้าเมาและตกน้ำตายตามคุณหญิงไป สาอยู่กินกับนายวิทย์อย่างไม่ราบรื่นนักเพราะนายวิทย์นั้นต้องอาศัยอยู่กับพี่สาว
ซึ่งไม่ยอมรับในตัวน้องสะใภ้อย่างสา ประกอบกับนายวิทย์เป็นนักดนตรีที่มีอารมณ์ศิลปินสูง ถึงเขาจะรักสามากแต่เขาก็ไม่เข้าใจในความต้องการของสาได้ดีเพียงพอ
ทำให้เมื่อวันหนึ่ง สาได้พบกับนายเซกิ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นและมีความสัมพันธ์กัน สาจึงตัดสินใจขอแยกทางกับนายวิทย์ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม นายเซกิต้องกลับไปญิ่ปุ่น ก็ได้มอบมรดกเป็นเงินจำนวนมากให้กับสา
เวลาผ่านไป…อุษาส่งโสภิตพิไลเข้าเรียนในโรงเรียนประจำที่ดีที่สุด ส่วนตัวเธอใช้เงินที่ได้มาจากนายเซกิเปิดธุรกิจสถานบันเทิงโดยมีประธาน
– -หนุ่มรุ่นน้องที่กลายเป็นสามีลับ ๆ ของเธอด้วยเป็นผู้ช่วย อาชีพและชื่อเสียงของอุษามีผลกระทบต่อโสภิตไม่น้อย เมื่อโสภิตเรียนจบชั้นมัธยมปลายก็ออกจากโรงเรียนกลับมาอยู่ที่บ้าน เธอเรียกอุษาว่าป้า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นลูกของคุณหญิงที่ตายจากไป และอุษาก็มีฐานะเป็นเพียงกึ่งญาติห่าง ๆ กึ่ง “ข้าเก่า”ของแม่เธอเท่านั้น
วันหนึ่งโชคชะตาบันดาลให้อุษาได้พบกับคุณชายรวีช่วงโชติ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก
อาจจะด้วยความผูกพันทางสายเลือดที่ทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มรู้สึกดีกับอุษา ถึงแม้ใคร ๆ จะเล่าลือถึงอดีตและเบื้องหลังของสาวใหญ่ผู้นี้ในทางไม่ดีนักก็ตาม หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเขามีใจให้กับอุษาเสียแล้ว รวมทั้งโสภิตพิไล ซึ่งรู้สึกขัดใจขัดตาต่อผู้เป็นป้ามาแต่ต้น
โสภิตพิไลเกิดความรู้สึกอยากจะท้าทายผู้เป็นป้าจึงพาตัวเข้าไปพัวพันกับทั้งคุณชายรวีช่วงโชติและนายประธาน นั่นทำให้อุษายิ่งร้อนรนด้วยเกรงว่าโสภิตกับคุณชาย- -ลูกชาย-หญิงของเธอเอง จะชอบพอกันขึ้นมาจริง ๆ
วันหนึ่งก็เกิดเหตุ โสภิตพิไลถูกนายประธานปลุกปล้ำ อุษาเข้าขัดขวางและยิงนายประธานตาย อุษากลายเป็นผู้ต้องหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา เพราะเธอไม่ต้องการให้โสภิตต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่โสภิตทนเห็นอุษาต้องมารับโทษเพราะปกป้องเธอไม่ได้จึงมาเป็นพยานในศาล
และขอให้คุณชายรวีช่วงโชติช่วยในด้านกฏหมายด้วยอุษาจึงพ้นผิดจากคดี แต่อุษาไม่อาจเลี่ยงพ้นผลกรรมของตัวเอง เมื่อเสร็จสิ้นคดีหม่อมพริ้มก็ให้รับโสภิตพิไลซึ่งท่านเข้าใจว่าเป็นลูกสาวของคุณหญิงโสภาเข้าไปอยู่ในบ้าน
โสภิตเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออุษาเพราะคิดว่าอุษาปิดบังชาติกำเนิดของตน เธอคิดว่าการที่เธอเข้าไปเป็นพยานให้อุษาจนพ้นข้อกล่าวหานั้นเป็นการตอบแทนบุญคุณที่อุษาเลี้ยงดูเธอมาอย่างเพียงพอแล้ว นับแต่นี้เธอก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอุษาอีกต่อไป
รัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องราวชีวิตของ พ่อฟัก หรือ ฮก ลูกคนที่ 2 และเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าสัวในเตาซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 4 ซึ่งในวัยเยาว์ได้ติดตาม แม่ส้มจีน พี่สาวซึ่งแต่งงานกับ หลวงเทพอาญา โดยได้ไปอาศัยอยู่กับพี่สาวและพี่เขยที่เรือนของ คุณพระราชพินิจจัย บิดาของหลวงเทพอาญาและที่แห่งนี้ทำให้ฟักได้พบกับ แม่ช้อง หลานสาวของคุณพระราชพินิจจัย ซึ่งฟักก็ได้หลงรักแม่ช้องในทันทีเมื่อแรกเห็นและเมื่อพ่อฟักอายุได้ 18 ปีก็ได้ขอให้แม่ส้มจีนขอแม่ช้องมาเป็นภรรยา แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากถูกผู้ใหญ่ขัดขวางกีดกันจึงทำให้พ่อฟักต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านเก่าซึ่งหลังจากนั้น พ่อสน หลานชายคนเดียวของเจ้าพระยามหาเสนาที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งมีนิสัยเจ้าชู้ทำตัวเป็นอันธพาลได้มาติดพันแม่ช้องโดยการติดสินบนนางเอี่ยมคนรับใช้คนสนิทของคุณช้อง ซึ่งหลังจากนั้นพ่อสนและแม่ช้องก็ได้เสียกัน ต่อมาพ่อสนจึงพาแม่ช้องหนีออกจากเรือนคุณพระราชพินิจจัย ไปอาศัยอยู่ที่เรือนของตนระหว่างนั้นฟักได้พบกับ แม่เพ็ง บุตรสาวคนเดียวของ พระยาสุเรนทรราชเสนา ระหว่างที่แม่เพ็งจมน้ำฟักได้เข้าไปช่วยทำให้ ท่านผู้หญิงเรียม แม่ของแม่เพ็งนั้น พอใจในตัวของพ่อฟักอยากได้มาเป็นลูกเขย ซึ่งพ่อฟักเองก็หลงรักแม่เพ็งเมื่อแรกเห็น ทางด้านแม่เพ็งหลงรักพ่อฟักเมื่อแรกเห็นเช่นกัน ต่อมา พ่อฟักได้เข้ารับราชการในตำแหน่งทนายไต่สวนคดีความและแม่เพ็งก็ได้โตเป็นสาวแล้วและเมื่อคุณสน ซึ่งมีลูกสาวกับคุณช้องแล้ว 1 คนและไม่สนใจไยดีคุณช้องอีกต่อไป ได้เห็นแม่เพ็งก็หลงรักและเข้ามาจีบแต่แม่เพ็งไม่สนใจคุณสนก็ไม่ละความพยายาม ต่อมาฟักทำความดีความชอบจนได้เลื่อนยศขึ้นเป็นคุณหลวง พ่อฟักได้ขอให้เจ้าสัวในเตาและแม่พลับพ่อแม่ของตนเอง ไปสู่ขอแม่เพ็งจากท่านพระยาสุเรนทรราชเสนาและท่านผู้หญิงเรียม โดยระหว่างนั้นแม่ช้อง,ลูกสาวและนางเอี่ยม ได้หนีออกจากบ้านท่านเจ้าพระยามหาเสนามาอาศัยอยู่ที่เรือนหอของพ่อฟักและแม่เพ็งที่ปากคลองบางลำภู พ่อฟักจึงส่งแม่ช้องไปอยู่กับพี่สาวและพี่เขยที่เมืองกาญจนบุรี ซึ่งพี่เขยของพ่อฟักได้ไปรับราชการที่นั่น โดยพาเมียและลูกอีก 3 คนไปด้วย หลังจากพระราชพินิจจัยบิดาถึงแก่อสัญกรรม และเมื่อคุณสนทราบว่าแม่เพ็งกำลังจะแต่งงานกับฟักก็โกรธมาก บุกไปยังงานแต่งของฟักและแม่เพ็งและถามหาคุณช้องแต่ฟักก็ได้พ่อแจ้งหรือหมื่นจิตรใจหาญคนรู้จักกันช่วยแก้ต่างให้ทำให้คุณสนหัวเสียกลับไป ต่อมาเมื่อท่านเจ้าพระยามหาเสนากำลังจะสิ้นใจ ทั้งแม่ช้อง,ลูกสาวและนางเอี่ยมก็ได้กลับมาดูใจท่านเจ้าพระยาเป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อท่านเจ้าพระยาเสนาสิ้นใจ แม่ช้องก็หมดที่พึ่งกลายเป็นทาสในเรือนพ่อสนไปตลอดชีวิต ส่วนพ่อฟักและแม่เพ็งหลังจากแต่งงานก็มีลูกสาวด้วยกันถึง 3 คนและในปี พ.ศ. 2376 พ่อฟักและท่านพระยาสุเรนทรราชเสนา ผู้เป็นพ่อตา ได้ไปรบในสงคราม อานามสยามยุทธแต่ท่านได้สิ้นชีวิตในสนามรบ และจากสงครามครั้งนี้ทำให้พ่อฟักได้เลื่อนยศขึ้นเป็นคุณพระที่พระงำเมือง ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคตลงในปี พ.ศ. 2394 พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ จึงลาผนวชมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 ฟัก ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพระมหาวินิจฉัยและได้ย้ายไปทำงานที่วังหน้า หลังจากนั้นพ่อฟักและแม่เพ็งก็มีลูกชายอีก 2 คน และหลานปู่ของพ่อฟักก็ได้บันทึกเรื่องราวของปู่และย่าเอาไว้และได้กลายเป็นเรื่อง