Tag Archives: ดนุพร ปุณณกันต์

อีสา-รวีช่วงโชติ 2541

อีสา ชีวิตของเธอผ่านความชอกช้ำมามากมาย หวังเพียงสิ่งเดียว ได้พบหน้าลูกชายที่พลัดพรากตั้งแต่แรกลืมตาดูโลก

อีสา เป็นเรื่องราวของ สา หรืออุษาเป็นลูกทาสที่เกิดและโตในวังของหม่อมเจ้าโชติช่วงงระวี รวีวาร ที่แม้จะมีการเลิกทาสแล้วแต่บรรดาทาสหลายคนซึ่งไม่มีที่จะไปก็ยังสมัครใจอยู่ใต้บารมีท่านเป็นสิบ ๆ คน สาเกิดมาไม่มีพ่อ และแม่ก็ตายหลังสาเกิดเพียงสองวัน สาจึงเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของป้าเจิม อดีตทาสที่อาวุโสสูงสุดในวัง เมื่อสาอายุได้สิบสองปีป้าเจิมก็พาสาไปฝากตัวไว้กับหม่อมนิ่มหม่อมน้อย ให้ช่วยฝึกหัดขัดเกลา
จนสาเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นที่เรียนรู้เรื่องของการวางตัวอย่างผู้ดี และยังได้หัดรำละครอีกด้วย สาแอบชื่นชมบูชาท่านชายมาตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่นจนวันหนึ่ง เมื่อสาอายุได้สิบหกปี หม่อมทั้งสองก็”ถวายตัว” สาให้กับท่านชาย ธรรมชาติสอนให้สาเรียนรู้ที่จะมีจริตจก้านตามวัย ทำให้ท่านชายลุ่มหลงในตัวสามากกว่าหม่อมคนอื่น ๆ

แต่ถึงกระนั้นสาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องให้เป็น “หม่อม” อย่างออกหน้าออกตา จนกระทั่งสาตั้งท้องและคลอดลูกชาย ซึ่งเป็นลูกชายคนแรกและคนเดียวของท่านชาย หม่อมพริ้มซึ่งเป็นหม่อมใหญ่ก็ได้โอบอุ้ม “คุณชาย” ไปเลี้ยงดูฟูมฟักเสมอลูกชายของตน ให้สาได้พบลูกบ้างเป็นครั้งคราวและเรียกลูกชายของตนเหมือนคนอื่น ๆ ว่า “คุณชาย”

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านชายก็สิ้นพระชนม์ลง และจำเพาะต้องมาสิ้นลงในคืนที่สาเพิ่ง “ถวายงาน” เสร็จ ฐานะของสาที่ทำท่าว่าจะดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งหลังจากคลอดลูกชายก็ดูเหมือนจะตกต่ำลงไป ด้วยข้อหา “กาลกิณี หรือผู้หญิงกินผัว” ที่แม้สาเองก็ไม่รู้ความหมาย

หลังจากท่านชายสิ้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวัง ทั้งด้านผู้คนที่แยกย้ายกันออกไปเป็นบางส่วน ทั้งด้านสภาพบ้านเรือนที่รายรอบวัง
ในความเปลี่ยนแปลงนั้น สาก็ได้รู้จักกับสมศักดิ์ ชายหนุ่มรูปงามที่มีกิริยาท่าทีสุภาพอ่อนโยน สาหลงรักเขาโดยง่าย ด้วยวัยที่ยังเยาว์ และธรรมชาตในตัวอันลึกล้ำ แต่เป้าหมายของนายสมศักดิ์ไม่ได้อยู่ที่สา เขาเพียงอาศัยสาเพื่อเข้าถึงตัวคุณหญิงโสภาพรรณวดี ลูกสาววัยรุ่นของหม่อมพริ้มต่างหาก  สานั้นชื่นชมนายสมศักดิ์จนถึงขั้นยอมตัวเป็นสะพานสื่อรักให้ แม้จะรู้ว่าผิดแต่เธอก็ทนแรงอ้อนวอนของนายสมศักดิ์ไม่ไหว ในที่สุดถึงกับพาคุณหญิงหนีตามนายสมศักดิ์ออกจากวัง ทั้ง ๆ ที่สาเองก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของท่านชายอยู่ด้วย

สาคลอดลูกคนที่สองเป็นผู้หญิง จึงยกให้เป็นลูกของคุณหญิงโสภาฯ กับนายสมศักดิ์ซึ่งคุณหญิงก็รักหนูน้อยมากเช่นกัน ตั้งชื่อให้ว่าโสภิตพิไล
สานั้นลึก ๆ รู้สึกผิดต่อคุณหญิงที่พาเธอมาตกต่ำจึงเฝ้าดูแลไม่ให้คุณหญิงต้องลำบาก แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะมีความสุขกันตามประสา แต่นานวันเข้า ทรัพย์สินที่คุณหญิงมีติดตัวมาเริ่มร่อยหรอ สาจึงออกหางานทำ และด้วยความที่เคยเป็นนางรำมาก่อน สาก็ได้งานแสดงละครเวทีกลายเป็นอุษาวดี – -นางละครผู้มีชื่อเสียงในเวลาไม่นาน

คุณหญิงโสภาฯ เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ และชืดชาในเรื่องบนเตียงจนนายสมศักดิ์เกิดความเบื่อหน่ายแม้จะยังรักคุณหญิงอยู่มาก แต่ความเห็นแก่ตัวมีมากกว่าวันหนึ่งนายสมศักดิ์ก็ย่องเข้าหาสาและได้เสียกัน สารู้สึกผิด แต่ด้วยแรงปรารถนาในใจก็ผลักดันให้สาดำดิ่งลงสู่ ห้วงแห่งดำกฤษณาอย่างยากที่จะถอนตัว จนวันหนึ่งคุณหญิงก็จับได้ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันคุณหญิงก็หายตัวไปและเสียชีวิตด้วยการจมน้ำตายในเวลาต่อมา

หลังงานศพคุณหญิง สาตัดสินใจแต่งงานกับนายวิทย์ นักดนตรีหนุ่มที่มาติดพันเธออยู่ในช่วงนั้นเพื่อหนีบาปในใจที่ตามหลอกหลอน นายสมศักดิ์เสียใจมากจนกินเหล้าเมาและตกน้ำตายตามคุณหญิงไป  สาอยู่กินกับนายวิทย์อย่างไม่ราบรื่นนักเพราะนายวิทย์นั้นต้องอาศัยอยู่กับพี่สาว
ซึ่งไม่ยอมรับในตัวน้องสะใภ้อย่างสา ประกอบกับนายวิทย์เป็นนักดนตรีที่มีอารมณ์ศิลปินสูง ถึงเขาจะรักสามากแต่เขาก็ไม่เข้าใจในความต้องการของสาได้ดีเพียงพอ

ทำให้เมื่อวันหนึ่ง สาได้พบกับนายเซกิ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นและมีความสัมพันธ์กัน สาจึงตัดสินใจขอแยกทางกับนายวิทย์ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม นายเซกิต้องกลับไปญิ่ปุ่น ก็ได้มอบมรดกเป็นเงินจำนวนมากให้กับสา

เวลาผ่านไป…อุษาส่งโสภิตพิไลเข้าเรียนในโรงเรียนประจำที่ดีที่สุด ส่วนตัวเธอใช้เงินที่ได้มาจากนายเซกิเปิดธุรกิจสถานบันเทิงโดยมีประธาน
– -หนุ่มรุ่นน้องที่กลายเป็นสามีลับ ๆ ของเธอด้วยเป็นผู้ช่วย  อาชีพและชื่อเสียงของอุษามีผลกระทบต่อโสภิตไม่น้อย เมื่อโสภิตเรียนจบชั้นมัธยมปลายก็ออกจากโรงเรียนกลับมาอยู่ที่บ้าน เธอเรียกอุษาว่าป้า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นลูกของคุณหญิงที่ตายจากไป และอุษาก็มีฐานะเป็นเพียงกึ่งญาติห่าง ๆ กึ่ง “ข้าเก่า”ของแม่เธอเท่านั้น

วันหนึ่งโชคชะตาบันดาลให้อุษาได้พบกับคุณชายรวีช่วงโชติ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก
อาจจะด้วยความผูกพันทางสายเลือดที่ทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มรู้สึกดีกับอุษา ถึงแม้ใคร ๆ จะเล่าลือถึงอดีตและเบื้องหลังของสาวใหญ่ผู้นี้ในทางไม่ดีนักก็ตาม หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเขามีใจให้กับอุษาเสียแล้ว รวมทั้งโสภิตพิไล ซึ่งรู้สึกขัดใจขัดตาต่อผู้เป็นป้ามาแต่ต้น

โสภิตพิไลเกิดความรู้สึกอยากจะท้าทายผู้เป็นป้าจึงพาตัวเข้าไปพัวพันกับทั้งคุณชายรวีช่วงโชติและนายประธาน นั่นทำให้อุษายิ่งร้อนรนด้วยเกรงว่าโสภิตกับคุณชาย- -ลูกชาย-หญิงของเธอเอง จะชอบพอกันขึ้นมาจริง ๆ

วันหนึ่งก็เกิดเหตุ โสภิตพิไลถูกนายประธานปลุกปล้ำ อุษาเข้าขัดขวางและยิงนายประธานตาย อุษากลายเป็นผู้ต้องหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา เพราะเธอไม่ต้องการให้โสภิตต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่โสภิตทนเห็นอุษาต้องมารับโทษเพราะปกป้องเธอไม่ได้จึงมาเป็นพยานในศาล
และขอให้คุณชายรวีช่วงโชติช่วยในด้านกฏหมายด้วยอุษาจึงพ้นผิดจากคดี แต่อุษาไม่อาจเลี่ยงพ้นผลกรรมของตัวเอง เมื่อเสร็จสิ้นคดีหม่อมพริ้มก็ให้รับโสภิตพิไลซึ่งท่านเข้าใจว่าเป็นลูกสาวของคุณหญิงโสภาเข้าไปอยู่ในบ้าน

โสภิตเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออุษาเพราะคิดว่าอุษาปิดบังชาติกำเนิดของตน เธอคิดว่าการที่เธอเข้าไปเป็นพยานให้อุษาจนพ้นข้อกล่าวหานั้นเป็นการตอบแทนบุญคุณที่อุษาเลี้ยงดูเธอมาอย่างเพียงพอแล้ว นับแต่นี้เธอก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอุษาอีกต่อไป

หลังคาแดง

หลังคาแดง เป็นเรื่องราวของ ทองดี ชายหนุ่มผู้ล้มเหลวทั้งชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน เขาทำงานในบริษัทใหญ่โตในหน้าที่พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำทางเข้าออก ด้านหน้าของอาคาร แต่แล้วจู่ๆ โดยไม่คาดฝันทองดีก็ถูกไล่ออกจากงานเพราะบริษัทได้นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามา ควบคุมอาคารตั้งแต่การเปิดปิดประตูโดยอัตโนมัติและกล้องวงจรปิด ทำให้บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยในจำนวนมาก เท่าเดิม และทองดีก็กลายเป็นหนึ่งในจำนวนพนักงานที่บริษัทปลดออก ทองดีพยายามไปสมัครงานที่ใหม่ๆ แต่ก็ไม่เคยมีที่ไหนรับเขาเลย วันๆ เขาออกไปหางานแล้วก็กลับมาอยู่ห้องเช่าอย่างโดดเดี่ยว จะมีก็เพียงไอ้มะลิหมาจรจัดเท่านั้นที่เป็นเพื่อนพอพูดคุยระบายความในใจได้ ทุกวันทองดีจะนั่งคุยกับมะลิเล่าถึงความหลังของเขากับน้ำฝนอดีตแฟนสาวที่ ทิ้งเขาไป ทองดียังหวังว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่นคงเพื่อให้น้ำ ฝนกลับมาหา ด้วยความหวังในชีวิตนี้เองที่ทำให้ทองดียังมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป โดยที่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลวอย่างที่คนอื่นๆ ในสังคมมองว่าเขาเป็น จนเมื่อยังหางานใหม่ไม่ได้ ประกอบกับถูกไล่ออกจากห้องเช่า เพราะค้างค่าเช่า ทองดีรู้สึกคับแค้นใจอยู่ไม่น้อยเขาคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตกต่ำเช่น นี้ก็เพราะการถูกไล่ออกจากงาน ทองดีรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาเป็นพนักงานที่ยอดเยี่ยม เขามั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ทุกคนในบริษัทตั้งแต่พนักงานทำความสะอาดไปจนถึง ประธานบริษัทต้องรู้จักเพราะทุกวันเขาจะเปิดประตูต้อนรับให้ทุกคนพร้อมด้วย รอยยิ้มและคำทักทาย เขาไม่เชื่อว่าคอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่นี้ได้ดีไปกว่าเขา ในที่สุดทองดีก็ตัดสินใจกลับเข้ามาที่บริษัท พอมาถึงเขาก็ก้าวเข้าประตูที่เลื่อนเปิดปิดได้เองโดยอัตโนมัติพร้อมทั้งมี เสียงกล่าวต้อนรับเข้าสู่บริษัทพร้อมสรรพ ทองดีรู้สึกอึ้งกับความล้ำสมัยนี้แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมั่นใจในประสิทธิภาพ การทำงานของตน เขาจึงตรงไปขอเข้าพบประธานบริษัทเพื่อจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเอง จากการกระทำอันอุกอาจนี้ทองดีก็ถูกจับส่งตำรวจ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ทางด้านของโฉมศรี ภรรยามหาเศรษฐีชื่อดังซึ่งไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศได้ติดต่อมาแจ้งความ ให้ตำรวจไทยช่วยตามหาสามีที่หายไป โดยหลักฐานท้ายสุดที่พอจะมีเกี่ยวกับสามีก็คือ จดหมายหนึ่งฉบับพร้อมกับรูปถ่ายล่าสุด โฉมศรีซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ต่างประเทศได้ให้ข้อมูลว่าสามีหรือโกยทอง ได้เดินทางไปเที่ยวรอบโลกตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว โฉมศรีไม่ได้ข่าวใดของสามีอีกจนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โกยทองได้ติดต่อกลับมาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ประเทศไทยและได้ทำศัลยกรรมใบหน้า ใหม่ และได้แนบรูปถ่ายมาให้ดูซึ่งในรูปถ่ายนั้นโกยทองมีใบหน้าเหมือนทองดีอย่าง กับคนๆ เดียวกัน ทองดีซึ่งกำลังถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโกยทอง ทองดีพยายามปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่โกยทอง แต่ก็ไม่มีใครฟัง เมื่อเห็นว่าทองดีไม่ยอมรับ ตำรวจก็คิดว่าบางทีอาจะเป็นเพราะโกยทองเสียสติไปแล้ว เพราะจากคำให้การของโฉมศรีได้ระบุว่า พักหลังๆ โกยทองได้เกิดอาการเครียดและระแวงว่าจะมีคนมาทำร้ายอยู่เสมอ จนในที่สุดก็ได้มีความคิดที่จะหนีไปที่ไหนสักพักเพื่อพรางตัว ตำรวจเชื่อว่าอาการเครียดที่ว่านี้อาจจะมีผลให้โกยทองเสียสติไปได้ ตำรวจจึงได้ส่งตัวทองดีไปอยู่โรงพยาบาลหลังคาแดงซึ่งเป็นสถานบำบัดและรักษา ผู้วิกลจริตที่โกยทองเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเอง วันแรกที่ถูกส่งตัวไป ทองดีถูกจัดให้พักในบ้านพักของผู้ป่วยพิเศษเพื่อรอให้ ผ.อ.คนใหม่ของโรงพยาบาลมาถึง ทองดียังไม่รู้ว่าเขาถูกส่งตัวมาที่ใด ส่วนหนึ่งก็เพราะทุกคนคิดว่าเขาเป็นโกยทองผู้เป็นเจ้าของที่นี่ จึงได้ปฏิบัติกับเขาและให้การรับรองอย่างดีเสียจนทองดีไม่รู้ว่าตัวเองกำลัง อยู่ในโรงพยาบาลบ้า การมาของทองดีหรือโกยทองตามที่คนอื่นเข้าใจนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับเจ้า หน้าที่ทุกคนในโรงพยาบาลมากเพราะตลอดมา โกยทองเป็นบุคคลลึกลับ ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นมาก่อน ที่โรงพยาบาล จิตแพทย์ประจำโดยการนำของ กุหลาบและสายใจ ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ ผ.อ.คนใหม่ โดยได้คัดเลือกคนไข้จำนวนหนึ่งจากฝ่ายคนไข้พิเศษมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ แต่ ผ.อ.คนใหม่ก็มาช้าเพราะรถของโรงพยาบาลอื่นที่มาส่งเกิดหลงทาง ประกอบกับคนไข้รายใหม่ในท้ายรถอาละวาด ผ.อ.จึงต้องเสียเวลาไปกับการเข้าไปเกลี้ยกล่อมอยู่ท้ายรถ ทองดีซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนไข้พิเศษได้มาร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ ด้วยคอนเซ็ปต์ของงานที่พยายามทำให้ ผ.อ.รู้สึกเป็นกันเอง ไม่มีบรรยากาศของโรงพยาบาล ทำให้ทองดียังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเท่าไรนัก เมื่อ ผ.อ.คนใหม่มาถึง ทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจโดยเฉพาะกุหลาบซึ่งเป็นสาวโสดวัย 30 ซึ่งรู้สึกประทับใจในตัว ผ.อ.ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น กุหลาบได้แนะนำทองดีให้ ผ.อ. รู้จักในฐานะโกยทอง ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ ขณะที่งานดำเนินไปอย่างเรียบร้อยจู่ๆ กลุ่มคนไข้อนาถาก็บุกเข้ามาร่วมในงานด้วยทำให้งานปั่นป่วนไปหมด และหนึ่งในคนไข้จำนวนนั้นก็มี อาลัย คนไข้สาวรวมอยู่ด้วย และตอนนี้เองทองดีแน่ใจในทันทีว่าเขาถูกจับมาอยู่ในโรงพยาบาลบ้า ทองดีตกใจจนเป็นลมไป เช้าวันต่อมาทองดีฟื้นขึ้นมาในห้องพักส่วนตัวท่ามกลางความเป็นห่วงของกุหลาบ และสายใจ เมื่อทองดีฟื้นเขารีบปฏิเสธกับใครๆ ว่าเขาไม่ใช่โกยทอง การปฏิเสธเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนเข้าใจว่าโกยทองกำลังอยู่ในอาการหนัก การหมดสติไปของโกยทองกลายเป็นเรื่องใหญ่ในที่ประชุมของคณะกรรมการของโรง พยาบาลเนื่องจากเห็นว่าปัญหาทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนไข้อนาถา ผ.อ.ที่มาใหม่นี้ได้เล็งเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะมีความเหลื่อม ล้ำกันมากไประหว่างคนไข้อนาถากับคนไข้พิเศษ ทำให้คนไข้อนาถาลุกขึ้นมาเรียกร้อง ดังนั้นสิ่งแรกที่ ผ.อ. ต้องการเปลี่ยนแปลงในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็คือทำให้คนไข้ทุกคนมีความเท่าเทียม กัน นโยบายใหม่ของ ผ.อ.นี้แม้จะไม่ค่อยเป็นที่พอใจแต่ก็ไม่มีใครสามารถขัดได้ นโยบายนี้จึงนำมาปฏิบัติโดยเริ่มจากการลดสิทธิพิเศษของคนไข้พิเศษลง แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับโกยทองหนึ่งคน เมื่อโฉมศรีได้รับการติดต่อว่าโกยทองได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่โรงพยาบาลหลังคา แดงแล้วเธอก็วางใจ แม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้างที่ตอนนี้สามีได้เสียสติไปแล้ว แต่เธอก็ได้ติดต่อมาที่โรงพยาบาลให้คอยดูแลโกยทองให้ดี อย่าให้หนีไปที่ไหนอีก ส่วนทองดีเมื่ออยู่ในโรงพยาบาลแม้จะได้รับการรับรองอย่างดีแต่เขาก็ไม่วาย รู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เขาสมควรอยู่ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะหาทางหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ที่นั่นทองดีไม่เคยคุยกับใครรู้เรื่อง มีเพียงคนเดียวที่เขาพอจะสื่อสารได้รู้เรื่องที่สุด นั่นก็คือ อาลัย ทองดีแปลกใจที่อาลัยต้องมาอยู่โรงพยาบาลแห่งนี้ ทั้งๆ ที่เธอเองก็อยู่ในอาการที่ดี พอที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ทองดีเพิ่งสังเกตเห็นว่าอาลัยมานั่งรอแม่กับน้องชายทุกวันพุธซึ่งเป็นวันที่ โรงพยาบาลเปิดให้ญาติมาเยี่ยม แต่จนแล้วจนรอดแม่ของเธอก็ไม่เคยมา ทองดีรู้สึกสงสารจึงสัญญากับอาลัยว่าถ้าเขาหาทางออกไปได้ เขาจะกลับมารับอาลัยออกไปในฐานะญาติของเธอ และจะพาอาลัยไปพบแม่และน้องชายเอง อาลัยดีใจมากจึงตกลงจะช่วยหาทางหนีให้ทองดี แรกๆ คนไข้อนาถาซึ่งเป็นคนไข้ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลพากันเห่อทองดีเพราะคิดว่าเป็น โกยทอง พวกเขาจึงคอยแอบเฝ้าดูพฤติกรรมของทองดีและเลียนแบบตลอดเวลาทำให้ทองดีรู้สึก อึดอัดอย่างมาก การตกเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ทำให้ความพยายามของทองดีที่จะหาทางหลบหนีออกจาก โรงพยาบาลเป็นไปได้ยากขึ้น การหลบหนีครั้งแรกๆ ของทองดีไม่ประสบความสำเร็จ ซ้ำร้ายเขายังได้เห็นตัวอย่างของคนไข้ที่พยายามหลบหนีแล้วถูกจับได้ว่าจะถูก นำไปขังไว้ในห้องขังพิเศษที่มีลักษณะคล้ายๆ กับคุกมืด ห้องขังพิเศษนี้มีไว้ให้สำหรับคนไข้ที่มีอาการรุนแรง มีแนวโน้มจะทำร้ายผู้อื่นและมีไว้สำหรับลงโทษคนไข้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฏของโรง พยาบาล ทองดีเห็นตัวอย่างแล้วก็คิดว่าแผนการหลบหนีของเขานั้นควรจะทำอย่างรัดกุม ยิ่งขึ้น ทองดีถือโอกาสหลอกใช้คนไข้คนอื่นๆ ที่กำลังชื่นชมเขาให้ช่วยเหลือพาเขาหลบหนี ทองดีวางแผนตีซี้กับคนไข้คนอื่นๆ โดยแรกๆ เขาใช้วิธีนำขนม บุหรี่ ข้าวของเครื่องใช้ที่เขาได้รับเป็นพิเศษจะได้รับมาแบ่งให้กับคนไข้อนาถา แล้วเขาก็เริ่มนัดแนะกับทุกคนในตอนกลางคืนให้มารวมตัวกันประชุมลับ ทองดีสอนให้คนไข้ไม่กินยานอนหลับ คนที่นำยานอนหลับมาให้ทองดีจะได้รางวัลตอบแทน และในเวลากลางคืนนี้เองที่ทองดีใช้ให้ทุกคนช่วยหาทางหลบหนีให้เขาโดยทองดี เรียกเกมนี้ว่า เกมฉกตัวจารชน ซึ่งทองดีสมมุติให้ทุกคนกำลังหาทางหลบหนีออกจากสถานกักกัน คนไข้ทุกคนก็สนุกไปกับเกมนี้เพราะนึกว่าเป็นเรื่องจริง มีเพียง ลุงหนับ คนไข้ผู้เป็นอดีตจ่าตำรวจคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เล่นด้วยกับแผนนี้และเขาก็ รู้ดีว่าทองดีกำลังหลอกใช้ให้คนอื่นๆ ทำเพื่อตัวเองอยู่ หลังจากวางแผนมานานหลายคืน ในที่สุดก็ถึงวันที่ทองดีจะหนีออกไปตามแผนด้วย แต่แล้วพอเอาเข้าจริงทองดีก็แอบหนีออกไปทางด้านหลังของโรงพยาบาลตามลำพัง คนไข้อื่นๆ พยายามจะตามไปด้วยแต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจับตัวได้เสียก่อน การถูกจับได้ครั้งนี้ทำให้คนไข้ต้องได้รับการลงโทษ ตั้งแต่ถูกคุมตัว งดให้ญาติเยี่ยม ในขณะที่ทองดีสามารถเอาตัวรอดไปได้ คนไข้รู้สึกว่าทองดีหักหลัง มีเพียงอาลัยเท่านั้นที่คอยแก้ตัวให้ทองดีด้วยการบอกกับทุกคนว่าทองดีออกไป แล้วจะหาทางมาช่วยพวกเขาทีหลัง เมื่อพูดเช่นนี้แล้วคนไข้อื่นๆ จึงรู้สึกดีขึ้น และรอวันที่ทองดีจะกลับมาช่วยอย่างมีความหวัง ทองดีเมื่อหนีออกไปได้ก็ไม่มีทางไปเพราะห้องเช่าที่เขาอยู่ก็ไม่มีแล้ว ทางโฉมศรีเมื่อรู้ว่าโกยทองหลบหนีออกไปได้ก็โกรธมาก ให้ตำรวจช่วยหาทางจับกลับมาให้ได้โดยให้เหตุผลว่าเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของ สามีมาก และตัวเธอเองก็ตัดสินใจจะเดินทางกลับมาที่เมืองไทยเพื่อมาพบสามีด้วยตนเอง ระหว่างที่ทองดีหลบออกมาข้างนอกเขาก็ไม่ต่างไปจากคนจรจัด ต้องอยู่เร่ร่อนไปเรื่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทองดีเริ่มสังเกตได้คือ เขากลับสื่อสารกับคนจรจัดหรือพวกคนบ้าข้างถนนได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วเขาก็เพิ่งได้ตระหนักว่าเขามองว่าคนบ้าและคนข้างถนนพวกนี้น่าดูถูกอย่าง ไร คนในสังคมก็มองตัวเขาไม่แตกต่างไปจากนี้เลย หลบออกมาได้ไม่นานทองดีก็ถูกตำรวจจับกลับไปส่งที่โรงพยาบาลหลังคาแดงดังเดิม การที่ทองดีถูกจับกลับมานี้ทำให้คนไข้ทุกคนผิดหวังมาก เพราะนั่นหมายความว่าทองดีไปไหนไม่รอดและก็คงไม่มีทางที่จะพาพวกเขาออกไปได้ ด้วย ทองดีพอมารู้ว่าการหลบหนีออกไปของเขานั้นสร้างความเดือดร้อนให้กับคนไข้ อื่นๆมากแค่ไหนก็รู้สึกผิด และครั้งนี้ทองดีก็ได้พบกับโฉมศรีเป็นครั้งแรก โฉมศรีนึกว่าทองดีเป็นโกยทองตัวจริง แต่ทองดีก็ยังคงปฏิเสธ ซึ่งการปฏิเสธนี้ทำให้โฉมศรีเป็นกังวลมากเพราะนั่นหมายความว่าโกยทองยังไม่ มีวี่แววว่าจะมีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด โฉมศรีได้แต่ร้องไห้เสียใจไปกับชะตากรรมของสามีและได้อ้อนวอนให้ผ.อ.และ จิตแพทย์ช่วยกันรักษาอาการของสามีให้ดีขึ้น ผ.อ.เห็นโฉมศรีเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเห็นใจและสัญญาว่าพร้อมจะช่วยเหลือเธอ อย่างเต็มที่ การมาของโฉมศรีครั้งนี้ เธอได้สั่งยกเลิกนโยบายที่จะสร้างความเท่าเทียมกันในโรงพยาบาลเพราะเห็นว่า นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไข้ก่อเหตุวุ่นวายดังกล่าว ในเมื่อโฉมศรีสั่งเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าขัดได้อีก พวกคนไข้อนาถายิ่งมีความเป็นอยู่แย่กว่าเดิมมาก ทุกคนโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของทองดี ทองดีพยายามจะแก้ตัวกับทุกคนแต่ก็ไม่มีใครฟัง มีเพียงอาลัยเท่านั้นที่เข้าใจและคอยให้กำลังใจทองดี หลังจากถูกจับตัวกลับมาครั้งนี้ ทองดีก็เริ่มปลงกับการหลบหนีออกไปมากขึ้น เขาเริ่มยอมรับว่าบางทีเขาอาจจะเหมาะที่จะอยู่ในที่เช่นนี้ ทองดีเริ่มหันมามองผู้คนรอบตัวซึ่งก็รวมถึงอาลัยเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาใน ขณะนี้ ระหว่างการเข้ากลุ่มบำบัดทองดีจึงได้รู้ว่าอาลัยมีปมเรื่องความรัก ด้วยความสงสัยทองดีจึงแอบไปเปิดดูแฟ้มคนไข้ของอาลัยแล้วก็ได้รู้ว่าตอนเธอ อายุ 14 เธอเคยหนีตามผู้ชายออกมาจากบ้าน แต่แล้วเมื่อเธอไปรอชายคนรักตามนัดที่ว่าจะมารับเขาก็กลับไม่มา ความผิดหวังนี้มีผลต่อสภาพจิตใจของเธอ อาลัยกลัวความผิดหวังจึงพยายามสร้างโลกส่วนตัวที่สวยงามปกป้องเธอไว้จากโลก ความจริงอันโหดร้าย ทุกสิ่งที่เธอเห็นและแสดงออกจึงดูใสบริสุทธิ์เหมือนอย่างที่เธอเคยเป็นก่อน หน้าที่เธอจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายนั้น เมื่อตำรวจพาอาลัยกลับไปส่งบ้าน ด้วยความอับอายและเพื่อหนีคำครหาแม่และน้องชายก็กลับส่งอาลัยมาอยู่ที่โรง พยาบาลนี้ และไม่เคยมารับอีกเลย ทองดีรู้สึกเห็นใจอาลัยเป็นอย่างมากส่วนหนึ่งก็เพราะ เธอเห็นว่าเขาทั้งสองต่างก็เคยผิดหวังจากความรักมาเหมือนกัน ยิ่งมาเห็นอาลัยที่เศร้าใจหนัก เมื่อรู้ว่าตอนนี้กำลังถูกลงโทษจากโรงพยาบาลไม่ให้ญาติมาเยี่ยม แล้วอาลัยก็มั่นใจมากว่าแม่จะต้องมาหาเธออาทิตย์นี้แล้วก็ไม่ได้พบเธอ เมื่อรู้ว่าอาลัยคิดเช่นนี้ทองดียิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้นว่าทั้งหมดนี่เป็น เพราะเขาคนเดียว ไม่เพียงแต่อาลัยเท่านั้น เล็ก เด็กหนุ่มซึ่งความจริงกำลังจะได้ออกไปจากโรงพยาบาล แต่เมื่อทางบ้านรู้ว่าเขาก่อเรื่องวุ่นวายครั้งนี้ ทางบ้านจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะหายดี ก็เลยตัดสินใจไม่ยอมมารับ เล็กเสียใจมากที่ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ที่นี่ เล็กเกิดอาการหดหู่จนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง เหตุการณ์ของเล็กทำให้คนไข้ในโรงพยาบาลคนอื่นๆ เกิดอาการหวาดกลัวและเศร้าซึม ทองดีพยายามสร้างบรรยากาศในโรงพยาบาลให้ดีดังเดิม แต่จนแล้วจนรอดเขาก็รู้ว่าไม่มีทางจะดีขึ้นได้ เพราะนอกจากเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว คนไข้ยังต้องได้รับความกดดันจากกฎระเบียบต่างๆ ที่โฉมศรีได้ตั้งขึ้น ในที่สุดเพื่อรับผิดชอบการกระทำของตัวเองและเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในโรงพยาบาล ให้ดีขึ้น ทองดีจึงคิดว่าหากเขายอมรับว่าเขาเป็นโกยทองเสีย เขาก็คงจะยกเลิกกฎระเบียบต่างๆ ในโรงพยาบาลและช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของคนไข้ในนี้ให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นทองดีจึงยอมรับว่าเขาเป็นโกยทอง เมื่อโฉมศรีรู้ว่าโกยทองมีสติกลับคืนมาแล้วก็ดีใจมากตรงมารับโกยทองกลับไป อยู่ที่บ้านทันที ทองดีต้องสวมรอยเป็นโกยทอง เขาเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ของโกยทอง และก็ไม่ลืมที่จะทุ่มเงินบริจาคให้โรงพยาบาลและลงไปควบคุมงานบริหารของโรง พยาบาลด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นกิจการในโรงพยาบาลดีขึ้นมาก มีการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงพยาบาลเอกชนที่อื่นๆ ที่เปิดรักษาผู้ป่วยวิกลจริตด้วยกันซึ่งทองดีก็ลงไปช่วยทำการแข่งขันร่วมกับ เพื่อนๆ คนไข้ด้วย ทองดีดีใจที่เห็นคนไข้เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเขาเองก็เพิ่งมารู้สึกว่าเขาผูกพันกับคนที่นี่มาก เขารู้สึกว่าทุกคนในโรงพยาบาลชื่นชมเขา ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้เขาไม่เคยได้จากสังคมภายนอก ทองดีนึกถึงสัญญาที่เขาเคยให้กับอาลัยไว้ว่าถ้าเขาออกมาได้ เขาจะไปรับเธอออกมาอยู่ข้างนอกด้วย ทองดีใช้ฐานะของโกยทองขอรับอาลัยมาพักอยู่ที่คฤหาสน์ ความสนิทสนมระหว่างทองดีกับอาลัยนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับโฉมศรี แต่โฉมศรีก็ไม่สามารถทำอาลัยได้เพราะเมื่อก่อนโกยทองก็เคยมีผู้หญิงอื่นอยู่ ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยมีรายไหนเลยที่โกยทองจะถึงขนาดนำมาอยู่ร่วมบ้านด้วย โฉมศรีได้แต่นำความอึดอัดนี้ไประบายให้ ผ.อ.ฟังในฐานะที่เขาก็เป็นจิตแพทย์คนหนึ่ง และนี่เองก็ทำให้ ผ.อ. เกิดเห็นอกเห็นใจโฉมศรีมากขึ้นจนกระทั่งความสงสารที่ว่าเริ่มกลายมาเป็นความ รักโดยไม่รู้ตัว ทองดีพาอาลัยไปตามหาแม่ การออกมาพบความจริงว่าแม่และน้องชายไม่ได้ต้องการเธอ ทั้งคู่อยู่กันอย่างมีความสุขแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีอาลัยอยู่ในโลกก็ทำ ให้อาลัยรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ทองดีรู้สึกสงสาร เขาพาอาลัยกลับบ้านและบอกกับอาลัยว่าถึงอย่างไรอาลัยก็จะยังมีเขาอยู่อีกคน ทองดีเริ่มสังเกตว่าความสัมพันธ์ระหว่างโกยทองและภรรยาคงจะไม่ได้รักกันมาก นัก ทองดีรู้สึกโฉมศรีมักจะพะวงถึงสมบัติของสามีมากกว่าตัวสามีเองเสียอีก โดยสังเกตได้จากเธอมักจะถามถึงของอยู่เสมอ แต่ทองดีก็ได้แต่งงานเพราะเขาไม่รู้ว่าของที่ว่านี้หมายถึงอาลัย ซึ่งแท้จริงแล้วแม้แต่ตัวโฉมศรีเองก็ไม่รู้ว่าของที่ว่านี้คืออาลัย เธอรู้แต่เพียงว่าที่สามีเธอมาเมืองไทยครั้งนี้ ได้โอนเงินและถอนออกมาหมด แต่โฉมศรีรู้ว่าสามีไม่ได้ซื้ออะไรจึงคิดว่าสมบัติของสามีจะต้องถูกเปลี่ยน ไปอยู่ในรูปของอะไรซักอย่าง ทองดีเองเพื่อเอาตัวรอดเขาก็ต้องทำอ้ำอึ้งและได้แต่ตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า ตอนนี้ของได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัยแล้ว ในขณะเดียวกันโฉมศรีก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในตัวสามีหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการที่สามีของเธอสามารถเข้ากับนำโชคสุนัขที่เธอเลี้ยงเหมือนลูกได้ เป็นอย่างดี จนพักหลังนี้นำโชคดูจะติดโกยทองมากกว่าเธอเสียอีก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับโกยทอง เพราะโกยทองจะเป็นคนที่เกลียดสุนัขมาก และนำโชคเองก็จะกลัวโกยทองมากเช่นกัน ด้วยเหตุที่ต่างคนต่างเริ่มรู้ทันกันนี้เอง ทั้งคู่จึงได้เริ่มจับผิดกันและกันมากขึ้น โฉมศรีให้ลูกน้องไปตามสืบดูพฤติกรรมของสามี และพยายามล้วงความลับจากอาลัยเรื่อง ของ แต่อาลัยก็ไม่สามารถบอกได้ โฉมศรีจึงคิดจะใช้อาลัยให้ช่วยสืบให้เธอเพราะเห็นว่าโกยทองไว้ใจอาลัย มากกว่าใคร แต่ด้วยเพราะความซื่อไร้เดียงสาของอาลัย อาลัยก็ไม่สามารถทำตามที่โฉมศรีต้องการได้ ซ้ำยังทำให้โกยทองรู้ทันโฉมศรีขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง วันหนึ่งทองดีได้เจอกับน้ำฝน คนรักในอดีตของเขาอีกครั้ง น้ำฝนตกใจไม่น้อยที่เห็นทองดีมีฐานะดีขึ้นมาก ทองดีต้องช้ำใจเมื่อรู้ว่าตอนนี้น้ำฝนแต่งงานไปแล้ว การพบกันในครั้งนี้ไม่พ้นหูตาของลูกน้องโฉมศรี โฉมศรีสั่งให้ลูกน้องไปสืบประวัติของน้ำฝนทันที เมื่อสืบมาได้โฉมศรีก็ไปพบและถามจากน้ำฝนด้วยตัวเอง จึงได้รู้ว่า น้ำฝนรู้จักโกยทองในฐานะของนายทองดี ทนนาน แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว โฉมศรีซักถามจนมั่นใจว่าน้ำฝนไม่ได้โกหกแล้วก็ได้ให้เงินปิดปากน้ำฝนไว้ก้อน หนึ่ง แล้วโฉมศรีก็ได้สั่งให้ลูกน้องไปสืบประวัติและหาตัวของนายทองดี ทนนานตัวจริงมาให้ได้ เมื่ออยู่ที่คฤหาสน์นั้น อาลัยก็ได้พบความจริงว่าโฉมศรีนั้นมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับถมทอง น้องชายไม่แท้ของโกยทองซึ่งเป็นลูกบุญธรรมที่พ่อของโกยทองได้รับเลี้ยงไว้ อาลัยพลั้งปากบอกทองดีเรื่องนี้ทำให้โฉมศรีไม่พอใจคิดจะกำจัดอาลัย ทองดีรู้ทันจึงทำเป็นว่าจะฟ้องหย่าและเปิดโปงเรื่องของโฉมศรีและถมทอง และได้ให้อาลัยกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง ทองดีบอกกับโฉมศรีว่าตราบใดที่อาลัยยังปลอดภัย เขาจะไม่เปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ของโฉมศรีกับถมทองโดยเด็ดขาด และวันหนึ่งนำโชคซึ่งตอนนี้ติดทองดีแจก็พาทองดีไปพบกับตู้เซฟของโกยทอง ตอนนี้ทองดีจึงเริ่มแน่ใจว่าของที่ว่านี้เกี่ยวพันกับตู้เซฟนี้แน่นอน ทองดีพยายามหาทางจะเปิดเซฟแต่ก็เปิดไม่ได้ เขาจึงคิดว่าบางที ของก็คงเป็นกุญแจสำหรับเปิดตู้เซฟนี้ ในขณะที่ทองดียังเป็นโกยทองอยู่นี้ วันหนึ่งโฉมศรีก็ได้รับจดหมายจากโกยทองอีกฉบับหนึ่ง ในฉบับนั้นได้ส่งรูปถ่ายล่าสุดจากโกยทองตัวจริงแนบมาด้วย ในจดหมายนั้นบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่อินเดียและได้ทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าไป อีก จดหมายฉบับนี้ได้บอกมาด้วยว่าตอนนี้ของได้อยู่ไม่ไกลจากโฉมศรีแต่อย่างใด จากจดหมายประกอบกับข้อมูลที่ลูกน้องของเธอได้สืบมาว่านายทองดีตัวจริงนั้น ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทำให้โฉมศรีแน่ใจว่าโกยทองคนที่เธออยู่ด้วยไม่ใช่ตัวจริงแน่นอน แต่เธอก็ยังเก็บความลับนี้ไว้อยู่กับตัวเพียงคนเดียว ทองดีเริ่มรู้สึกแล้วว่าชีวิตมหาเศรษฐีอย่างโกยทองช่างเป็นชีวิตที่ไม่มี ความสุขเอาเสียเลย เขาไม่สามารถไว้ใจคนรอบข้างได้สักคนโดยเฉพาะกับภรรยาอย่างโฉมศรี โฉมศรีตัดสินใจบอกความจริงกับทองดีว่าเธอรู้ความจริงหมดแล้วว่าทองดีเป็นโกย ทองตัวปลอม เธอขู่ให้เขาบอกความจริงมาให้หมดว่าเคยเจอกับโกยทองเมื่อไหร่ และโกยทองเอารูปถ่ายของเขามาได้อย่างไร ทองดีเห็นรูปถ่ายของเขาก็จำได้ทันทีว่ามันเป็นรูปของเขาที่หายไปเมื่อตอนถูก ไล่ออกจากห้องเช่า แต่เพื่อรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ ทองดีจึงโกหกไปว่าเขาเคยเจอกับโกยทองตัวจริงมาก่อน และโกยทองเป็นคนมาขอรูปนั้นไปจากเขาเอง และที่สำคัญเขาก็รู้ด้วยว่าของอยู่ที่ไหน แต่พอโฉมศรีถาม ทองดีก็ไม่ยอมบอก ทองดีคิดหาทางจะหนีออกไปจากปัญหายุ่งเหยิงนี้ทั้งหมด เขาตัดสินใจจะหลบไปใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายที่ต่างจังหวัด เขานำแผนนี้ไปบอกแก่อาลัยเพื่อชวนให้เธอหนีไปกับเขา การที่ทองดีมาชวนหนีครั้งนี้เท่ากับเป็นการมาสะกิดบาดแผลในใจของอาลัยในอดีต อาลัยกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย เธอจึงปฏิเสธไม่ยอมไปกับทองดี ทองดีพูดโน้มน้าวให้อาลัยเชื่อใจเขา เขารับรองว่าเขาจะไม่ทำให้อาลัยผิดหวังเหมือนคนรักคนก่อนของอาลัย และเขาเองก็เชื่อว่าหากเขาทำให้อาลัยยอมไปกับเขาได้ นี่อาจจะเป็นการทำให้อาลัยก้าวพ้นกลับมาสู้ความจริงได้อีกครั้งหนึ่ง ทองดีบอกกับอาลัยว่าเขาจะมารับเธอที่หลังโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ ข้อเสนอของทองดีทำให้อาลัยนำไปครุ่นคิดหนักทั้งคืน วันรุ่งขึ้นทองดีกำลังจะไปรับอาลัยตามที่นัดไว้ แต่ก็ถูกตำรวจดักไว้เสียก่อน โฉมศรีบอกให้ตำรวจช่วยจับตัวทองดีไว้ ทองดีบอกกับตำรวจว่าเขาไม่ใช่โกยทอง พอทองดีพูดเช่นนี้ ตำรวจก็คิดว่าโกยทองกลับมามีอาการป่วยอย่างเก่าอีกก็จึงนำตัวทองดีกลับไปที่ โรงพยาบาลหลังคาแดง ที่โรงพยาบาลทองดีถูกจับมาขังเดี่ยว เขาเป็นห่วงอาลัยอย่างมาก เพราะเขารู้ว่าอาลัยกำลังรอเขาอยู่ และถ้าเขาไม่ไปก็เท่ากับว่าเขาทรยศอาลัยและก็จะยิ่งทำให้บาดแผลในจิตใจของ อาลัยบอบช้ำมากขึ้นอีก แต่โฉมศรีก็ไม่ยอมปล่อย โฉมศรีบอกกับทองดีว่าถ้าหากเขายอมบอกมาว่าของอยู่ที่ไหน เธอจะยอมปล่อย ทองดีสารภาพเรื่องตู้เซฟและขอให้โฉมศรีปล่อยเขาไป แต่โฉมศรีก็ไม่ยอมปล่อย ทางด้านของอาลัย เธอก็ได้แต่นั่งรอทองดีต่อไปที่หลังโรงพยาบาลจนถึงดึก เจ้าหน้าที่พากันตามตัวกันให้วุ่น อาลัยผิดหวังอย่างมากที่ทองดีหลอกเธอ อาลัยได้แต่นั่งเศร้าซึม ไม่พูดไม่จา ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาลัย ทองดีพอรู้ว่าอาการของอาลัยทรุดหนักลงเรื่อยๆ ก็ทนไม่ไหว เมื่อโฉมศรีมาพบกับเขาอีกครั้ง พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าจะมอบส่วนแบ่ง 30% ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดของโกยทองให้ถ้าทองดียอมบอกว่าที่ซ่อนของกุญแจเปิด เซฟ ทองดีบอกว่าเขาไม่รู้แต่โฉมศรีไม่เชื่อด้วยความคับแค้นใจ ทองดีก็ตรงเข้าไปบีบคอโฉมศรีให้หายแค้นกับที่เป็นเหตุทำให้อาลัยต้องทรุดลง ผ.อ.เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีก็จึงเข้าไปช่วยโฉมศรีออกมา และสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวทองดีไปช็อตไฟฟ้าแม้สายใจจะพยายามคัดค้านแต่ก็ ไม่เป็นผล หลังจากการถูกลงโทษด้วยการช็อตไฟฟ้า ทองดีก็ถูกส่งกลับมาในสภาพของคนไร้ความรู้สึกและความทรงจำ เป็นเพียงแต่ร่างที่มีเพียงลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ พออาลัยได้พบกับทองดีในสภาพนี้เธอก็รู้ทันทีว่าทำไมทองดีมารับเธอตามนัดไม่ ได้ เมื่อรู้ว่าทองดีไม่มีเจตนาหลอกลวงเธอ อาลัยก็อาการดีขึ้น และการที่อาลัยกล้าตัดสินใจไปตามนัดกับทองดีนี้ก็เท่ากับว่าอาลัยกล้าเผชิญ กับความจริงมาขึ้น นั่นก็หมายความว่าอาการของเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว ระหว่างนั้นลุงหนับมาเยี่ยมทองดี เขาพูดกับทองดีทั้งๆ ที่รู้ว่าทองดีคงจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาบอกให้ทองดีพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ และบอกว่าการเป็นคนบ้าบางครั้งก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด คนบ้าเท่านั้นที่จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้โดยไม่มีใครถือสา แล้วเขาก็สารภาพกับทองดีว่าความจริงเขาเองก็ไม่ได้บ้าแต่ในเมื่อมาอยู่โรง พยาบาลแล้วสบายกว่าอยู่ข้างนอกเขาก็เลยแกล้งบ้าเพื่อจะได้อยู่ในนี้ต่อไป และนี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่เคยเห็นด้วยกับการที่ทองดีพยายามจะหลบหนีออกไปจาก ที่นี่ หรือคอยปฏิเสธว่าตัวเองไมได้บ้า เขาเห็นว่าบางทีการยอมรับว่าบ้าเสียก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ลุงหนับไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาจุดประกายให้ทองดีซึ่งมีสติได้ยินคำพูดของ ลุงทั้งหมดคิดจะแกล้งทำเป็นบ้าไปตามที่ลุงหนับทำ โฉมศรีคิดจะไปหลอกใช้ทองดีซึ่งตอนนี้วันๆ ได้แต่นั่งเหม่อ ไม่รู้สึกรู้สมอันใดมาเป็นเครื่องมือแทน โดยเธอคิดจะใช้โอกาสนี้ให้ทุกคนเห็นว่าโกยทองเป็นบุคคลวิกลจริต แล้วก็ทำเป็นเรื่องทางกฏหมายให้โกยทองกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถแล้วหลัง จากนั้นทรัพย์สมบัติและกิจการต่างๆ ของโกยทองก็จะกลายเป็นของโฉมศรี เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ โฉมศรีซึ่งรู้ดีว่า ผ.อ. นั้นชื่นชอบเธออยู่ไม่น้อย เธอจึงแกล้งทำเป็นหลอกล่อให้ ผ.อ.ช่วยด้วยการสัญญาว่าจะแต่งงานด้วยทันทีที่ศาลสั่งให้โกยทองกลายเป็น บุคคลวิกลจริตไปแล้ว ผ.อ.ซึ่งหลงรักโฉมศรีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ย่อมอยากจะช่วยให้โฉมศรีพ้นจากผู้ชายที่ไม่เคยเห็นค่าของเธออย่างโกยทองมา ได้ เขาสัญญาว่าจะทำให้หมอคนอื่นๆ ลงความเห็นวินิจฉัยว่าโกยทองเป็นบุคคลวิกลจริตไปให้ได้ อาลัยเห็นอาการของทองดีไม่ดีขึ้น และรู้ว่าทองดีกำลังตกเป็นเหยื่อของโฉมศรีก็พยายามจะหาทางช่วยด้วยการแอบ เข้ามาหาทองดีและพยายามจะรื้อฟื้นความจำให้ทองดี ทองดีถือโอกาสนี้บอกความจริงแก่อาลัยว่าเขาไม่ได้บ้าหรือความจำเสื่อมไป อาลัยดีใจมากที่รู้ว่าทองดีปลอดภัยดี ทองดีบอกกับอาลัยว่าเขากำลังมีแผนจะหักหลังโฉมศรี ทองดีขอให้อาลัยช่วยเขาด้วยการทำอะไรบางอย่างให้ ผ.อ.มัวแต่หมกมุ่นเรื่องโกยทองเสียจนแทบจะไม่ใส่ใจงานวันครบรอบการก่อตั้ง โรงพยาบาลซึ่งจะต้องจัดขึ้นทุกปี ในการประชุมเพื่อจัดเตรียมงาน ผ.อ.ยกเรื่องอาการป่วยของโกยทองมาพูดในที่ประชุม และขอให้แพทย์และคณะกรรมการช่วยลงชื่อพิจารณาให้โกยทองเป็นบุคคลวิกลจริต กุหลาบซึ่งแอบชอบ ผ.อ.อยู่ตกลงใจร่วมลงชื่อด้วย แต่ถึงอย่างไรเสียงในที่ประชุมก็เข้าข้างฝ่าย ผ.อ.มากกว่า ทำให้สายใจรู้สึกไม่พอใจจึงตัดสินใจลาออกไป หลังจากลงชื่อไป ต่อมากุหลาบก็ได้มารู้ความจริงว่า ผ.อ.ทำไปเพื่อช่วยเหลือโฉมศรี กุหลาบรู้สึกน้อยใจมาก ส่วนสายใจก็เก็บของย้ายออกจากโรงพยาบาลไป เมื่อเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลมัวแต่ไปยุ่งเรื่องโกยทอง ก็มีเพียงแต่พวกคนไข้เท่านั้นที่ตื่นเต้นกับงานด้วยการพากันซ้อมการ แสดงอย่างจริงจังโดยการนำของอาลัย ผ.อ.นำใบรับรองไปให้โฉมศรีและทวงสัญญาเรื่องแต่งงาน โฉมศรีปฏิเสธและบอก ผ.อ.ว่าจริงๆ เธอหลอกใช้ ผ.อ.เป็นเครื่องมือเท่านั้น ผ.อ.ช้ำใจมากที่โฉมศรีไม่ได้รักตนตอบ หลังจากได้ใบรับรองจากแพทย์มาแล้ว โฉมศรีก็ส่งให้ทนายความดำเนินเรื่องตามกฎหมาย โฉมศรีมีแผนว่าจะเปิดเผยตัวจริงของโกยทองในวันงาน เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าโกยทองนั้นบ้าไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงตามตัวสื่อมวลชนและประชาสัมพันธ์งานก่อตั้งโรงพยาบาลอย่างยิ่ง ใหญ่ สื่อมวลชนต่างก็ตื่นเต้นกันมาเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มหาเศรษฐีโกยทองยอม เปิดเผยตัว

สวรรค์เบี่ยง 2541

“ลีลา” กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคู่หมั้นหนุ่ม ในอีกห้าวันข้างหน้า แต่โชคร้ายนัก เธอและเขาประสบอุบัติเหตุ คู่หมั้นของเธอเสียชีวิต ในขณะฝ่ายคู่กรณีก็สูญเสียภรรยาเช่นกัน

นั่นทำให้ชะตาชีวิตของลีลา พลิกผัน…เธอตอบตกลงแต่งงานกับคุณคิด วรวัตต์ พ่อม่ายสูงวัยผู้ขับรถคันที่ชนเข้ากับคู่หมั้นของเธอ ด้วยเหตุผลหลักที่ฝังลึกในใจเธอก็คือ…เขาเป็นบิดาของ “คาวี วรวัตต์ ” ชายหนุ่มที่เธอเคยหลงใหลได้ปลื้มในตอนที่ยังอยู่ในวัยรุ่น แล้วถูกเขาปฏิเสธด้วยการหยามเหยียด…

“คาวี” ลูกชายคนเดียวของคุณคิด เขาเป็นชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งยโส ถือตัวว่าเกิดมามีชาติตระกูล จึงทำให้มองผู้อื่นว่าต่ำกว่าตนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมารดาเสียชีวิตลง เขาไม่เคยทำใจให้ยอมรับผู้หญิงอื่นให้มาแทนที่มารดาได้เลย เขาคิดเสมอว่า…ผู้หญิงเหล่านั้นล้วนแต่เข้ามาในชีวิตของบิดาเขาเพียงหวัง หน้าตาและทรัพย์สินที่พ่อของเขามีมากมายเท่านั้น…
แต่ลึก ๆ แล้ว คาวีเป็นตัวละครที่มีปมซับซ้อน อ่อนไหวและเรียกร้อง…

“นา ริน”…(นางเอก) เป็นน้องสาวของลีลา เธอเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งและมีความมั่นคงในอารมณ์ จนหลายครั้งที่ผ่านมาเธอต้องเป็นคนที่คอยเหนี่ยวรั้งพี่สาวอยู่เสมอ ….

เมื่อแต่งงานกับคุณคิดแล้ว ลีลาก็พาครอบครัวของเธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับคาวี…

นั่น ทำให้คาวีมีโอกาสได้เฝ้ามองนารินอย่างสนอกสนใจอยู่ลึก ๆ แม้ภายนอกจะแสดงอาการดูหมิ่นและหยามเหยียดอย่างเปิดเผย จนทั้งสองต้องประทะคารมกันอยู่เนือง ๆ …

เมื่อคุณคิดถึงแก่กรรมใน เวลาต่อมา ทั้งหมดก็ยังคงต้องอยู่บ้านเดียวกัน ด้วยพินัยกรรมใด้บังคับเอาไว้ นั่นเป็นเหตุให้คาวีเกิดอาการพาลรีพาลขวางไม่พอใจ…

ในที่สุด…วัน หนึ่ง…จะด้วยอารมณแค้นเคืองอย่างที่แสดงออก หรือจะเป็นความรู้สึกลึกซึ้งภายในที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ชัด คาวีก็ลุแก้อารมณ์ขืนใจนาริน…

นารินหาเหตุออกจากบ้านไปอยู่ตาม ลำพัง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของแม่และพี่สาว… ตลอดจนความรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ และเหมือนจะเป็นความคาดไม่ถึงของคาวี…เพราะเขาคิดว่านารินจะใช้โอกาสนี้ เรียกร้องสิ่งต่าง ๆ จากเขา

ผู้กำกับ : มานพ สัมมาบัติ
ผลิตโดย : ดาราวิดิโอ
เขียนบท : หทัยดนุพร
บทประพันธ์ : กฤษณา อโศกสิน

นักแสดง
ดนุพร ปุณณกันต์
สุวนันท์ คงยิ่ง

รากนครา

รากนครา

พ.ศ. 2427 ณ ดินแดนหัวเมืองเหนือของประเทศสยาม เจ้าศุขวงศ์ เจ้านายหัวเมืองประเทศราชเล็กๆ ได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดหลังจากที่ไปเติบโตและรับราชการที่กรุงเทพฯ เพื่อมารับหน้าที่ช่วยในการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองเหนือ ศุขวงศ์ต้องเดินทางไปเชียงเงิน เพื่อร่วมงานศพของเจ้าอุปราชสิงห์คำ ในฐานะที่เป็นเครือญาติกัน ที่นั้น ศุขวงศ์ได้พบปะพูดคุยและเกิดความพอใจเจ้าแม้นเมือง ธิดาของเจ้าหลวงแสนอินทะ หญิงสาวผู้ยึดมั่นรักแผ่นดินและมีอุดมการณ์ตามความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษที่ต้องการให้เชียงเงินได้เป็นเอกราชจากสยาม แม้นเมืองมีพี่ชายร่วมอุทรที่เติบโตมาด้วยกันและรักใคร่กันยิ่งนักชื่อ เจ้าหน่อเมือง และมีน้องสาวต่างแม่ชื่อ เจ้ามิ่งหล้า ซึ่งถึงแม้จะมีศักดิ์เป็นน้องแต่ได้รับการเลี้ยงดูในฐานะราชธิดาที่สูงกว่าเนื่องจากมารดาของมิ่งหล้า เจ้านางข่ายคำเป็นเจ้านางหลวงคนปัจจุบัน มิ่งหล้าเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาเมื่อเห็นว่าศุขวงศ์สนใจแม้นเมือง จึงวางอุบายดึงศุขวงศ์มาใกล้ชิดตนพร้อมใส่ไฟให้แม้นเมืองเข้าใจผิด ทำให้แม้นเมืองแม้จะหวั่นไหวมีใจกับศุขวงศ์แต่ก็ต้องเก็บงำความรู้สึกไว้ในใจ

เจ้าหลวงแสนอินทะวางแผนการเพื่อถ่วงดุลอำนาจสยามและเมืองมัณฑ์ด้วยการส่งตัวมิ่งหล้าไปเป็นบรรณาการถวายกษัตริย์เมืองมัณฑ์ มิ่งหล้าจึงขอร้องให้ศุขวงศ์ช่วยพาหนีออกจากขบวน ซึ่งศุขวงศ์ก็รับปากช่วยส่วนหนึ่งด้วยความรู้สึกน้อยใจแม้นเมือง ที่เห็นหน้าที่สำคัญกว่าหัวใจ มิ่งหล้าบังคับให้แม้นเมืองสาบานด้วยถ้อยคำสาหัสว่าจะไม่แพร่งพรายแผนการ แต่แม้นเมืองก็จำต้องผิดคำสาบานเพื่อเชียงเงิน เจ้าหลวงแสนอินทะและหน่อเมืองวางแผนซ้อนกลศุขวงศ์ด้วยการสลับตัวให้หลงไปรับแม้นเมืองออกจากขบวน ศุขวงศ์จึงต้องตกกระไดพลอยโจนแต่งงานกับแม้นเมือง ตามแผนการผูกพันกับญาติให้ตายใจ และมิ่งหล้าถูกส่งไปเมืองมัณฑ์ตามแผนเดิม

แม้นเมืองมาอาศัยอยู่กับศุขวงศ์และเจ้าย่าเรือนคำ แม้จะมีความทุกข์ในใจที่ผิดคำสาบาน ทั้งยังเข้าใจผิดว่าศุขวงศ์รักมิ่งหล้า แต่ทั้งสองก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขฉันสามีภรรยา จนแม้นเมืองตั้งครรภ์ ในขณะที่มิ่งหล้าที่ไปอยู่เมืองมัณฑ์กลับมีแผนทะเยอทะยานที่จะมีพระหน่อกับกษัตริย์ จนถูกเจ้านางหลวงปัทมสุดาผู้โหดเหี้ยมลงโทษและทรมานปางตาย ฟองจันทร์บริวารของแม้นเมืองซึ่งติดตามไปอยู่กับมิ่งหล้าหนีกลับมาขอความช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ศุขวงศ์กับแม้นเมืองต้องหมางเมินใจกันด้วยความเข้าใจผิดว่าต่างฝ่ายต่างไม่รักกัน จนกระทั่งแม้นเมืองคลอดลูกเป็นชายชื่อไศลรัตน์หรือภูแก้ว

ศุขวงศ์ไปช่วยพามิ่งหล้าหนีกลับมา เพื่อไม่ให้เชียงเงินมีข้ออ้างในการประกาศเอกราชจากสยาม และอนาคตต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นอังกฤษเหมือนเมืองมัณฑ์ และยังขโมยอาวุธทำลายแผนการประกาศอิสรภาพของเชียงเงิน ทำให้หน่อเมืองโกรธแค้นมาก หน่อเมืองวางแผนล้างแค้นศุขวงศ์ด้วยการขอร้องให้แม้นเมืองช่วยล่อลวงศุขวงศ์มาให้ฆ่า แม้นเมืองจึงยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องชายที่รักและชดใช้ให้แก่แผ่นดิน

นักแสดงละคร รากนครา

ดนุพร ปุณณกันต์ แสดงเป็น เจ้าศุขวงศ์
พัชราภา ไชยเชื้อ แสดงเป็น เจ้านางแม้นเมือง
วรนุช ภิรมย์ภักดี แสดงเป็น เจ้านางมิ่งหล้า
สหภาพ วีระฆามินทร์ แสดงเป็น เจ้าหน่อเมือง
ชไมพร จตุรภุช แสดงเป็น เจ้านางปัทมสุดา

ฟ้าใหม่

ปลายรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อ แสน (พระเอก) อายุได้ 8 ขวบ ออกหลวงพิชิตบรเทศ (หรือหลวงนายสิทธิ์) พ่อของแสนพาแสนเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ของพระองค์ท่าน และพระองค์ท่านได้พระราชทานแสนให้เป็นมหาดเล็กของ สมเด็จพระมหาอุปราชเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ และแสนเป็นที่เอ็นดูและโปรดปรานของท่านยิ่งนัก

การได้เข้าขบวนแห่พิธีอุปราชาภิเษกนำพาให้แสนได้พบกับ เรณูนวล (นางเอก) สาวรุ่นที่สวยมาก เธอมาดูขบวนแห่ครองวังกับนางในอื่นๆ การแต่งกายของเธอบ่งบอกว่าเธอเป็นสาวในสกุลสูง แต่ท่าทางเธอแก่นแก้วก๋ากั่นราวเด็กผู้ชาย เธอเรียกแสนอย่างล้อเลียนว่า “ลูกแขกค้าตะเภา” และชมอย่างล้อเลียนอีกเช่นกันว่าแสนขนตายาวเปรื้อย ทำให้แสนหงุดหงิดและขัดเคืองเป็นที่สุด แสนรู้จากเพื่อนชายว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของ พระยาพิษณุโลก กับภริยาเอก พ่อส่งเธอมาถวายตัวเป็นข้าหลวงตำหนัก พระพันวรรษาน้อย ตั้งแต่เธอยังเด็ก ปากคอเธอไม่มีใครเกินและเธอไม่กลัวใครด้วย ห้าวหาญเหมือนพ่อ ชอบขี่ม้ารำทวน ผิดวิสัยหญิงทั่วไป เพื่อนชายของแสนยุด้วยความคะนองให้แสนตอกกลับเธอคืน หากเจอกันอีกว่าเธอเป็นชาวเหนือพูดจากเก๋อไก๋น่าส่งไปเป็นตะพุ่นหญ้าม้า มากกว่าเป็นนางข้าหลวง แสนคิดว่าเขาจะตอกกลับในคราวหน้าที่พบกัน

คุณใหญ่รู้เรื่องความหงุดหงิดของแสนด้วยความขัน คุณใหญ่บอกว่าข้าหลวงสาวคนนั้นน่าจะชอบว่าแสนตาสวยและคงอยากให้มองเธอ และล้อแสนว่าตัดจุกไม่ ทันไรก็มีสาวมาเกี้ยวเสียแล้ว แต่ความหงุดหงุดของแสนที่ถูกผู้หญิงล้อหายวับไปในทันใดเมื่อรู้ว่าคุณใหญ่มา ที่บ้านครั้งนี้เพื่อมาลาพ่อแสนไปประจำอยู่หัวเมือง แสนใจหายยิ่งนัก คุณใหญ่สั่งแสนให้ฝึกอาวุธไว้สม่ำเสมอ เพราะเมืองม่านขณะนี้เงียบเชียบผิดสังเกต และได้ข่าวจากคุณกลางว่าขณะนี้ม่านมาค้าอัญมณีตามชายเขตแดนหนักมือขึ้นราว กับ จะรวบรวมเงินทองไว้ทำการใด และผู้ที่มาค้าเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้หญิงดังแต่ก่อน คุณใหญ่ให้แสนบอกพ่อว่าให้แบ่งทรัพย์สินเงินทองเก็บซ่อนในที่ที่พ้นตาศัตรู และเตือนแสนมิให้ข้องแวะกับนางในนางห้าม ด้วยว่าเป็นอันตรายต่อชายผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท ให้ดูชะตากรรมของพระมหาอุปราชพระองค์เก่าเป็นตัวอย่าง

แสนไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดเมื่อผลัดแผ่นดินและจะมีเรื่องยุ่งถึงเลือด เนื้อนั้น ใจเขาจึงประหวัดเป็นห่วงข้าหลวงที่ชื่อเรณูนวลขึ้นมาในทันใด ในงานพระเมรุพระบรมศพ ข้าราชบริพารและนางในใกล้ชิดต้องโกนศีรษะไว้ทุกข์ แต่เรณูนวลรับหน้าที่เป็นนางร้องไห้จึงไม่ต้องโกน นายสุจินดาบอกกับแสนว่าเขาและแสนคงต้องเตรียมตัวถวายตัวแก่เจ้านายใหม่อีก ครั้ง เพราะได้ยินมาว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรจะถวายราชบัลลังก์แก่เจ้าฟ้าเอกทัศ และเธอเห็นบรรดาเถนต่างชาติที่เคยถูกขับไล่ไปจากวัดวรโพธิ์นั้นมาปะปนกับผู้ คนอยู่ในงานพระเมรุด้วย น่าจะเป็นเค้าลางว่าศัตรูคู่ศึกดั้งเดิมคือม่านกำลังคืบคลานมาใกล้ทุกขณะจิต ในงานพระเมรุนี้แสนได้ขี่ม้ารำทวนคู่กับนายสุจินดาถวายเจ้าฟ้าเอกทัศทอดพระ เนตร และท่านทรงพอพระทัยมาก ประทานเงินให้แก่ทั้งสองคน และเพียงชั่วในคืนนั้นเองเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงถูกบังคับกลาย ๆ ให้ถวายราชบัลลังก์แก่เจ้าฟ้าเอกทัศ แล้วหลังจากนั้นท่านทรงออกผนวช

แสนและเรณูนวลได้พบกันเพียงใกล้แค่เอื้อมชั่วหน้าต่างคั่น เรียมไปดูต้นทางอยู่ห่างออกไป แสนเอ่ยคำฝากรักจากใจได้ไพเราะล้ำและจริงใจยิ่งนัก สองคนแลกแหวนและให้คำสัตย์ต่อกัน เรณูนวลประนมมืออยู่ใกล้แก่เอื้อม แรงรักบริสุทธิ์ยามแรกรุ่นทำให้แสนสุดที่จะห้ามใจเขาประนมมือตนทับมือประนม ของเรณูนวลแล้วเอามือน้อยนั้นมาแนบใจ และให้คำมั่นแก่เธอว่าวันใดที่กรุงศรีฯ มีฟ้าแผ้วแผ่นดินเย็น แสนจะบากบั่นทำการทุกอย่างให้ได้เรณูนวลไปเป็นดาวประจำชีพ แม้จะต้องฝ่าพระราชอาญาและกฎมณเฑียรบาลก็มิเกรง มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะขวางกั้นเขากับเรณูนวลได้ ขอให้เรณูนวลรักษาตัวให้พ้นภัยรอท่าเขา เสียงจามเป็นสัญญาณหมดเวลาจากเรียม แต่ทันใดนั้นมีเสียงคนร้องด้วยความตื่นตระหนกระคนเสียงร่ำไห้ แล้วเรียมวิ่งถลันมาบอกว่ามีข่าวจากม้าเร็วว่าม่านบุกรุกเข้ามาถึง สุพรรณบุรีแล้ว

ความรัก ความอาวรณ์เป็นฉันท์ใด หนุ่มสาวคราวแรกรักเพิ่งได้ประจักษ์ในบัดนี้ เรณูนวลสุดที่หวงตัวต่อไป เธอโผเข้าสู่อ้อมกอดของแสน หัวใจสะท้อนสะท้านดังใบไม้ต้องพายุ เธอให้คำมั่นแก่แสนว่า เมื่อบ้านดีเมืองหายเดือดในวันข้างหน้า ไม่ว่าเธอจะตกไปอยู่ที่ใด หากรู้ว่าแสนยังมิเบนใจไปอื่น ยังตั้งตาคอยวันกลับของเธอ เธอจะสู้ลุยไฟนรก ฝ่าพระราชอาญาไปสู่เรือนแสน แต่หากแสนต้องอันตรายสุดวิสัยที่จะครองกันในชาตินี้ เธอจะบวชชี จะไม่มีวันยอมให้มือชายที่สองมาต้องกายเป็นอันขาด

แสนประจำอยู่กองทัพของพระยากำแพงเพชรซึ่งคุมทัพรักษาพระนครด้านทิศตะวัน ออกที่เกาะแก้ว แสนรู้จักนิสัยพระยากำแพงเพชรดีว่าเอาจริงเอาจังกับการรบอย่างสุดชีวิตจิตใจ เพียงใด ท่านมิใช่พวกตั้งรับข้าศึกอย่างเดียว หากแต่ชอบที่จะรุกไล่ด้วย การออกไปทัพกับท่านถึงเกาะแก้วครานี้ กว่าจะได้กลับเข้าพระนครก็คงอีกแสนนาน หรือไม่ก็อาจไม่ได้กลับเลยหากเสียทีข้าศึก หรือเสียชีวิต แสนจึงหาทางไปพบเรณูนวลก่อนที่จะออกไปเกาะแก้ว โดยไปดักพบเรียมที่ตลาด เรียมเห็นแสนก็รู้ทันทีว่ามาตามหาเธอด้วยเรื่องอะไร พูดนัดแนะกับแสนเป็นนัยที่รู้กันเฉพาะสองคน ว่าเธอจะพาเรณูนวลไปพบกับแสนที่บ้านหอรัตนชัย เรณูนวลและแสนพบและลากันด้วยเสน่หาอาลัยล้ำ

วันอังคาร เดือนห้า ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุน พ.ศ. 2310 ข้าศึกระดมกำลังยิงกระหน่ำทุกด้านรอบพระนคร และเร่งสุมเพลิงคลอกรากกำแพงเมืองทุกด้าน กองกำลังรักษาเมืองรับมือข้าศึกสุดชีวิตจมื่นไวยบัญชาการรบอย่างเข้มแข็ง อยู่ด้านที่กำแพงกำลังจะพัง ผู้ที่มาขัดการบัญชาการของจมื่นไวยคือพระยาพลเทพ พระยาพลเทพแต่เครื่องขุนนางชุดเข้าเฝ้าเต็มยศมารอต้อนรับทัพม่านด้วยหวัง เต็มที่ที่จะได้ยกขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองประเทศราช จมื่นไวยระเบิดความแค้นไล่ฟันพระยาพลเทพ พลเทพหูขาดไปข้างหนึ่ง หนีจมื่นไวยหัยซุนด้วยอยากรักษาชีวิตไว้ขึ้นเป็นเจ้า จมื่นไวยตามล่าไม่ลดละ

ประตูด้านป้อมมหาชัยถูกข้าศึกพังถล่มลงเป็นประตูแรก ข้าศึกเฮโลกันเข้าทางประตูนั้น จมื่นไวยมาเห็นพระยาพลเทพยืนปลื้มรับทัพข้าศึกเข้าเมืองอยู่ จึงโดยฟันแขนซ้ายพระยาพลเทพขาดก่อนที่พระยาพลเทพจะทันรู้ตัว และตามด้วยปลายดาบจิ้มทะลวงตาข้างหนึ่ง และสุดท้ายฟันแขนขวาขาดอีกข้าง จมื่นไวยคั่งแค้นแน่นหัวอก ไมให้พลเทพเหลือมือที่จะไปกราบไหว้แม่ทับและเจ้าผู้ครองกรุงอังวะ ไม่ให้เหลือรูปโฉมที่ผู้ใดจะยินดีมอง ข้าศึกกลุ้มรุมทำร้ายจมื่นไวย จมื่นไวยต่อสู้จนตัวตายอยู่ตรงประตูใหญ่ท่าช้างหน้าวังจันทรเกษม

เพลาค่ำแปดนาฬิกา วันเนาสงกรานต์ ขึ้นเก้าค่ำ เดือนห้า พ.ศ. 2310 นั้นเอง พระนครศรีอยุธยามหาราชธานีก็สิ้นศักดิ์แห่งราชธานีลง หลังจากรวมกำลังตั้งต่อสู้ศัตรูมาได้หนึ่งปีกับสองเดือน เปลวเพลิงรุกโหมโชติช่วงแดงฉานตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิท กลืนชีวิตกรุงศรีอยุธยาบรมราชธานีอันเคยบรมสุข เป็นหมดสิ้นเลื่อมยศ

เพียงสามปีที่ผลัดแผ่นดินก็มีศึกพม่าประชิดติดเมืองอีกคือศึก เจ้าตะแคงปะดุง เจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของพม่า ยกเข้ามาทางลาดหญ้า แขวงเมืองกาญจนบุรี แสนกราบเรียนให้ผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลกส่งบรรดาขุนหมื่นพันทนายออกไป ป่าวเรียกผู้คนให้อพยพมารวมกองกันในเมืองโดยเร็วและให้ขนเสบียงมาด้วย เพื่อจะได้ไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่ต้องทิ้งเมืองเพราะขาดเสบียงความคิดของ แสนได้ผล ผู้คนหลั่งไหลเข้าเมืองทุกวัน แสนช่วยเป็นภาระคุ้มกันและจัดส่งกองเกวียนของชาวบ้านจนถึงทางเข้าเมือง และจวนเย็นวันหนึ่ง มีกองเกวียนใหญ่มากกองหนึ่งอพยพเข้ามาความที่เป็นกองใหญ่และเข้ามาตอนพลบจึง จะยังเข้าเมืองไม่ได้ แสนและกองกำลังออกไปดักตรวจตรากองเกวียนนั้นว่าจะมีผู้แปลกปลอมแฝงมาบ้าง หรือไม่ ขณะเมื่อกำลังพูดจากันอยู่แสนสังเกตเห็นว่ามีม้าสองม้ารีบถอยไปแผงอยู่ด้าน หลังสุดของขบวน และยิ่งได้ฟังคนนำกลุ่มพูดจาถึงวันที่เจ้าพระยาทั้งสองแตกทัพอะแซหวุ่นกี้ แสนก็ยิ่งปั่นป่วนหัวใจนัก จะมองสองม้าที่ถอยไปจนสุดกู่ก็มองไม่ถนัด ได้แต่คิดว่าจะต้องค้นเอาความจริงให้ได้ และคิดว่าจะเป็นคนกลุ่มนี้เองที่มาช่วยวันแตกทัพอะแซหวุ่นกี้

แสนได้แต่พูดฝากไว้ในเบื้องต้นนี้ว่าอยากรู้ว่าผู้ที่มาช่วยวันแตกทัพ เป็นใครแสนให้ชาวบ้านพักผ่อน ตัวเองก็ไปพักด้วย แต่จนดึกแล้วแสนก็ไม่อาจข่มตมให้หลับได้ จึงลุกออกจากที่พักเดินตรวจพลเวรยามไปเรื่อย แล้วแสนก็ต้องชะงักทันใดเมื่อได้ยินเสียงชายชาวบ้านป่าขับลำนำรักอันเป็น ลำนำที่ชาวกรุงศรีฯ ขับเป็นประจำและแสนกับเรณูนวลขับสู่กันก่อนแสนจากไปสงคราม แสนคาดคั้นจนได้ความว่ามีผู้สอน แสนสั่นไปทั้งตัวด้วยแน่ใจว่าผู้สอนนั้นเป็นเรณูนวลแน่และกองเกวียนนี้ต้อง เป็นของเธอ แสนคาดคั้นขาวบ้านจนในที่สุดได้พบกับเรียมพี่เลี้ยงของเรณูนวล เรียมต่อว่าต่อขานประชดประชันแสนมากมาย โดยเฉพาะเรื่องได้เมียพระราชทานถึงสองคน แสนชี้แจงและสาบานจนเป็นที่พอใจของเรียม เรียมจึงชี้เกวียนที่พักของเรณูนวลให้ แสนกับเรณูนวลได้พบกัน ความรักความคิดถึงแรมปีประดั่งหลั่งไหลท่วมท้นใจ แสนรับรู้ความลำบากของเรณูนวลด้วยน้ำตา และให้คำมั่นว่าจากนี้ไปความตายเท่านั้นที่จะพรากเขาจากเรณูนวลได้ แล้สองหัวใจรักที่รอคอยกันมานานแสนนานก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในคืน นั้น แสนขอให้ผู้สำเร็จราบการเมืองพิษณุโลกประกอบพิธีสมรสให้ แล้วจากนั้นแสนกับเรณูนวลและกองกำลังก็ไปสมทบทัพหลวงที่ลาดหญ้า ทำศึกกับพม่าซึ่งยกเข้ามาถึงเก้าทัพ กองของแสนและเรณูนวลรบแบบกองโจรและสามารถตีพม่าแตกกระเจิงได้ชัยชนะในด้าน นั้น แสนและเรณูนวลไปตนสมทบกับทัพหลวงซึ่ง พระอนุชิตราชา หรือพระราชวังบวรหรือคุณเล็กเป็นแม่ทัพ และท่านมีพระบัณฑูรให้แสนและเรณูเข้าเฝ้า ท่านตรัสว่าแสนและเรณูนวลจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวในวันที่เสร็จศึก เพี่ยงเท่านี้แสนก็ยินดีจนสะท้านไปทั้งกาย

ทัพไทยทำศึกกับพม่าสุดชีวิตวิญญาณ บรรดาคนไทยที่ซุ่มซ่อนอยู่ต่างก็ออกมาช่วยบ้านเมืองทำศึกจนมีชัยชนะอย่าง เด็ดขาดต่อพม่า และศึกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นแล้วบ้านเมืองสยามก็เข้าสู่ความสงบสุข ไร้ศึกจากเมืองม่านมารบกวนอีกเลยตลอดรัชกาล

พรพรหมอลเวง

พรพรหมอลเวง เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดของสาวสวยนามว่า ตันหยง  ซึ่งเสียใจจากการที่ไปพบ พิราม หนุ่มคู่หมั้นกำลังหาความสุขอยู่ที่คอนโดมิเนียมที่จะใช้เป็นห้องหอ กับพนักงานสาวในบริษัทของพิรามเองโดยบังเอิญ ตันหยงถอนหมั้นทันที แล้วขับรถออกมา ร้องไห้จนสาใจแล้วสำนึกว่าเป็นเพราะความโกรธแค้น อับอายที่ถูกหลอกมากกว่าจะเสียใจเพราะอกหัก ตันหยงขับรถเตลิดเปิดเปิงไปไกลโดยไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่อยุธยาแล้ว ตันหยงแวะทานข้าว เผลอดื่มเหล้าจนเมามาก รู้สึกตัวว่าชายหนุ่มแปลกหน้าเริ่มลวนลามจับมือจับแขน จึงขับรถกลับ แต่ถูกตามโดยรถ 2 คัน ขนาบหน้า-หลัง 1 ในรถคันนั้น คือชายแปลกหน้านั่นเอง ตันหยงกลัวตัดสินใจบึ่งรถหนีจนเกิดอุบัติเหตุบนทางโค้ง รถตันหยงตกข้างทางชนต้นไม้ใหญ่อย่างแรง

วิญญาณ ของตันหยงออกจากร่าง และด้วยปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง พอตันหยงรู้สึกตัวอีกครั้งในโรงพยาบาลก็พบว่าร่างที่ตัวเองอยู่นั้นกลายเป็น เด็กหญิง อายุ 5 ขวบ ชื่อ เมริน ซึ่งพลาดตกบันได และเป็นเวลาเดียวกับที่ตันหยงประสบอุบัติเหตุ เกิดการสลับวิญญาณตันหยงรู้ว่าวิญญาณของเมรินตายแล้ว และตัวเองมาอาศัยร่างแทน แต่ไม่รู้ว่าร่างของตัวเองอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร จนกระทั่งตอนท้ายของเรื่อง

เมื่อแรกก็รู้สึกตัว ตันหยงพยายามบอกใคร ๆ ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ไม่มีใครรับฟัง เด็ก 5 ขวบ แม้แต่ ปฐวี ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ที่รักษาและน้าชายของเมริน ตันหยงเลยเลิกพูดพยายามปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในร่างของ ด.ญ. เมริน ( น้องเมย์ ) ตันหยงต้องดำเนินชีวิตในร่างของน้องเมย์ วัย 5 ขวบ ด้วยวิญญาณและความรู้สึกของสาวอายุ 25 น้องเมย์เป็นสุดที่รักของน้าชาย ( ปฐวี ) ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมของน้าชายกับหลาน 5 ขวบ ทำให้หัวใจของตันหยง เริ่มซึมซับความอบอุ่นทีละน้อยจนในที่สุดตันหยงก็ยอมรับกับตัวเองว่ารัก น้าวี เป็นความรักอย่างแท้จริงที่ไม่สามารถแสดงออกได้

ใคร ๆ พากันแปลกใจมากที่น้องเมย์ กลายเป็นเด็กที่เรียนเก่ง พูดเก่ง ฉลาดเกินวัยมาก ตันหยงรู้ว่าครอบครัวของน้องเมย์มีปัญหา ประภัสสร และ เมธี แตกแยกกันเพราะความเข้าใจผิด และด้วยแรงยุของ ปรางค์ทิพย์ ตันหยงร่วมมือกับน้าวี แก้ไขสถานการณ์จนเรียบร้อย ขณะที่ความรู้สึกของตันหยงก็ยิ่งรักปฐวีเข้าไปทุกวัน ด้วยความอยากรู้ว่าร่างของตัวเองเป็นอย่างไร

ตันหยงพยายามหาข่าวตัว เองจาก นสพ. ทุกฉบับ แต่ก็ไม่พบจนหมดกำลังใจ เคยพยายามโทรศัพท์ไปหาแม่ ( คุณบุหงา ) หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อว่า เด็กอายุ 5 ขวบ มาเรียกคุณบุหงาว่าแม่ ตันหยงไม่รู้จะทำยังไงต้องจำยอมอยู่ในร่างของน้องเมย์ต่อไป เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านไปมากมาย ในชีวิตครอบครัวของน้องเมย์ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวความไม่ซื่อสัตย์ของสามี ต่อภรรยาทั้งนั้น ทำเอาตันหยงแทบจะเกลียดผู้ชายทั้งโลก จน 3 เดือนผ่านไปประภัสสรและเมธี พ่อ-แม่ของน้องเมย์กลับมารักกันอย่างเดิม ตันหยงพอใจมาก คิดจะบอกความจริงกับปฐวีหลายครั้งแต่ไม่ได้บอก

บังเอิญมีเหตุร้ายแรง เกิดขึ้น ด้วยความริษยาของคุณปรางทิพย์ จึงไปจ้างให้กรรมกรคนหนึ่งมาปล้นบ้านประภัสสร ให้ทำร้ายประภัสสรและฆ่าน้องเมย์ ขณะที่คนร้ายกำลังบีบคอน้องเมย์และจับหัวกระแทกกำแพงแตก ปฐวีก็มาช่วยไว้ทันพอดี การที่ต้องไปโรงพยาบาลเช็คสมองเย็บแผลต่าง ๆ ทำให้ตันหยงบังเอิญพบคุณบุหงาครั้งหนึ่ง ตันหยงถลาเข้าไปกอดร้องไห้ เรียกว่าแม่ ปฐวีแปลกใจและสงสัยในตัวหลานสาวมานานแล้ว จึงต้องยอมรับว่าเรื่องที่หลานพูดตอนฟื้นคืนสติใหม่ ๆ เป็นความจริง

ตันหยง ยอมรับกับปฐวีทุกอย่าง ปฐวีทุกข์ใจมากเพราะรักน้องเมย์เหลือเกิน ( ขณะเดียวกันก็รู้ว่ารักตันหยงเช่นกัน ) ตันหยงรู้ว่าร่างของตัวเองกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรามา 3 เดือนกว่าแล้ว ตันหยงสงสารพ่อแม่ตัวเองมากที่เฝ้าร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงของลูกสาวตลอด เวลาด้วยความหวัง ว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาวันหนึ่ง ปฐวีและตันหยงต่างก็มีปัญหากันทั้งคู่ โดยเฉพาะปฐวีคิด หนัก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกใคร ระหว่างหลานรักกับหัวใจรัก เพราะถ้าตันหยงออกจากร่างน้องเมย์ก็จะสูญเสียน้องเมย์ตลอดไป แต่ถ้าเห็นแก่ตัวและครอบครัวของพี่สาว ก็เท่ากับว่า อยุติธรรมต่อครอบครัวของตันหยง

ในที่สุด ปฐวีก็ตัดสินใจยอมรับความจริงไล่ตันหยงให้กลับไปสู่ร่างเดิม ตันหยงในร่างน้องเมย์ ตัดสินใจกระโดดลงมาจากบันได ตายในเวลาเดิม (เที่ยงคืน) แต่ตันหยงไม่ได้กลับเข้าร่างทันที วิญญาณของตันหยงคงเฝ้าดูอาการของคนต่าง ๆ โดยเฉพาะปฐวี ที่มาเฝ้าคอยเรียกตันหยงที่โรงพยาบาลทุกวัน สารภาพความในใจทุกอย่างกับร่างนั้น รอคอยอย่างทรมานนานถึง 6 วัน ตันหยงก็กลับมาสู่ร่างเดิม ด้วยความสุข สมหวังของทั้งคู่ ครอบครัวของประภัสสรและเมธีเสียน้องเมย์ไปแต่ก็มีลูกสาวอีกคน คือวิญญาณของน้องเมย์ กลับมาเกิดใหม่นั่นเอง

นักแสดงละคร พรพรหมอลเวง

กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ แสดงเป็น ตันหยง
ดนุพร ปุณณกันต์ แสดงเป็น ปฐวี
กรรชัย กำเนิดพลอย แสดงเป็น เมธี
ชลิตา พานิชการ แสดงเป็น ประภัสสร
วาสนา สิทธิเวช แสดงเป็น คุณบุหงา
วรินทร์ เชยอรุณ แสดงเป็น ปรางค์ทิพย์
วรพรต ชะเอม แสดงเป็น พิราม
ธาดา พิธิวิหค แสดงเป็น สามีคุณบุหงา
ทิศนา ดำรงศักดิ์ แสดงเป็น จ๋า
ด.ญ.ณิชา พิชล็อค แสดงเป็น ด.ญ.เมริน
บุศรา ศรีรุ่งเรือง แสดงเป็น สาว
สมาน มะลิซ้อน แสดงเป็น ลุงแก้ว
ปริญญ์ วิกรานต์ แสดงเป็น สรร

นางมาร

นางมารภาคม ภาคยสมบัติ ชายหนุ่มผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ ต้องตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่จับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเขาฝันถึงหญิงงามนางหนึ่งเป็นประจำเกือบทุกคืน นางมารปรากฏกายเฉพาะยามหลับรูปกายอรชรงามหมดจดราวรูปปั้นของนางนั้น ยิ่งทำให้ภาคมแทบไม่อยากลืมตาตื่น

ในเวลาเดียวกันนั้น เจิดจำรัสภรรยาของเขามีโอกาสติดตามบิดาผู้เป็นรัฐมนตรีไปประชุมในประเทศ เพื่อนบ้าน เจิดจำรัสได้ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมโบราณอันเคยรุ่งเรืองโดยมิเคย ล่วงรู้มาก่อนว่าดินแดนนั้นเอง คือที่มาแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งของนายภาคย์ บิดาของภาคม

นายภาคย์ บิดาของภาคมเป็นเศรษฐีใหญ่มีธุรกิจมากมาย ผ่านชีวิตวัยหนุ่มมาอย่างโชกโชน มีภรรยาน้อยมาหลายคนจนภรรยาหลวงระอา ในที่สุดนายภาคย์ก็หยุดลงที่ภรรยาน้อยคนสุดท้าย เป็นหญิงวัยแรกรุ่นจากบ้านป่าชื่อลำดวน เขาพบเธอเมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยอำนาจเงินของนายภาคย์หญิงสาวอ่อนโลกที่บังเอิญมีนามพ้องกับหญิงคนรัก เก่านายภาคย์เมื่อวัยเยาว์ จึงมาเป็นบ้านเล็กของนายภาคย์อย่างสงบเสงี่ยม แม้นายภาคย์จะให้บ้าน ทรัพย์สิน รถยนต์ และบริวาร เพื่อความสุขสบาย ลำดวนก็ยังวางตัวสมถะตลอดมา นางสวดมนต์ทุกคืนเป็นกิจวัตร ปรนนิบัติเอาใจสามีอย่างไม่บกพร่อง นายภาคย์จึงทั้งรักและเกรงใจเมียสาว

นานวันภาคมยิ่งพะวงเพ้อถึงอนัณยตา หญิงสาวที่มาให้เขาสัมผัสได้เพียงในฝัน พฤติกรรมนี้สร้างความเจ็บปวดใจให้แก่ภรรยาของภาคมเป็นอย่างมาก เพราะแม้ระหว่างมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ภาคมยังพร่ำเอ่ยนามอนัณยตาราวกับเจิดจำรัสไม่มีตัวตน

ภาคมยังคงลุ่ม หลงนางในฝันอย่างล้ำลึก นางพาเขาท่องไปในดินแดนที่สวยงามราวสรวงสวรรค์มีปราสาทหินเด่นสง่าตรงสุดทาง ในไพรกว้าง กลิ่นกายแกมกลิ่นไม้หอมกรุ่น เหนืออื่นใด คือ องค์เอวอันมีอาภรณ์ประดับน้อยชิ้น แต่งามประหลาดเสมือนรูปปั้นนางอัปสร อนัณยตาดึงดูดใจให้เขาเข้าใกล้ทีละน้อย

คืนหนึ่งนายภาคย์ฝันถึงเพื่อนร่วมสาบานที่หายสาบสูญไป เขาตื่นขึ้นอย่างตระหนก เช้าวันนั้น เวทย์คนสนิท และมือปืนเก่าแก่คู่ใจรุดมาหานายภาคย์ เขาคือผู้ที่รับคำสั่งให้ฆ่านายสัมพันธ์เพื่อนชาวเขมรร่วมสาบานเมื่อ 30 ปีก่อน นายเวทย์เล่าว่านายสัมพันธ์มาหาเขาในฝัน กล่าวคำพูดปริศนาว่า ถึงเวลาแล้ว…เสวยสุขกันมานานแล้ว นายภาคย์ฟังแล้วถึงกับเป็นลมล้มไป

วันต่อมา นายเวทย์ยิงตัวตาย วิญญาณนายเวทย์พยายามเตือนนายภาคย์อีก แต่ถูกวิญญาณหญิงตนหนึ่งเย้ยเยาะไล่ นายภาคย์มอบหมายให้ชัชวาลย์หุ้นส่วนคนสนิทดูแลส่งเสียครอบครัวนายเวทย์ให้ดี ที่สุด คืนงานศพนายเวทย์ พ่อลูกกลับบ้านด้วยกัน นายภาคย์ตัดสินใจเปิดเซฟลับให้ลูกชายดู มันเป็นกล่องเงินสลักฝาเป็นลายนางอัปสร เปิดออกชั้นแรกก็พบไพลินน้ำงามรูปรีคล้ายไข่นก ขนาดเขื่อง 3 เม็ด วางอยู่ในเบ้าเงินจำหลักอักขระที่อ่านไม่ออก เมื่อยกเบ้าไพลินออกก็พบมีมีดงาช้างคาดเส้นทองคำ ฝักเงินฝังทับทิมวางอยู่ด้านล่าง ถัดลงไปอีกชั้นยังมีพลอยสองสีงามประหลาดเม็ดใหญ่มากอีกเม็ดหนึ่ง

การที่นายภาคย์เปิดเซฟให้บุตรชายดูของมีค่า ก็เพื่อเตรียมมอบให้เป็นมรดกสืบต่อไป เขาไม่ได้บอกเล่าถึงมูลเหตุแห่งการได้มา บอกเพียงว่ามีคนเป็นจำนวนมากอยากได้ของมีค่านี้ และคนที่รู้ว่ากล่องใบนี้อยู่ที่นายภาคย์ก็ตายไปหมดแล้ว

ภาพภาคม เปิดรหัสเซฟและลูบไล้กล่องเงินสลักรูปนางอัปสรอย่างลุ่มหลง ตลอดจนภาพเม็ดไพลินน้ำงาม ปรากฏในความฝันของเจิดจำรัสอย่างชัดแจ้ง แม้ตื่นขึ้นก็ยังจำได้ติดตา เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เจิดจำรัสเคยฝันเห็นสามีของเธอเล้าโลมสำราญอยู่ กับหญิงอื่นอย่างปวดใจ และเขาขานชื่อชัดเจนว่า อนัณยตา

ภาคมทนเก็บความรุ่มร้อนใจไว้ไม่ไหว เขาเล่าความฝันให้นายภาคย์ฟัง ตัดสินใจแน่วแน่ว่า อยากจะหย่ากับเจิดจำรัสแล้วออกสืบเสาะหาว่า อนัณยตา มีตัวตนอยู่จริง ณ ที่ใด นายภาคย์ถึงกับอึ้งเมื่อภาคมเล่าว่า เมื่อคืนเจิดจำรัสฝันเห็นตนเคล้าคลออยู่กับอนัณยตา

ในฝันนั้นอนัณ ยตาแทงเขาด้วยมีดด้ามงา คำว่ามีดด้ามงาทำให้นายภาคย์ตกใจมาก เขาเองก็ร้อนรุ่มจนมิรู้จะไปไหนได้ นอกจากที่บ้านลำดวน เมื่อได้ดื่มน้ำฝนเย็นชื่นใจ และการปรนนิบัติดูแลอย่างสงบเสงี่ยมจากเมียสาว นายภาคย์ก็ค่อยสบายใจขึ้นและเริ่มออกหาทางแก้ไขปัญหาที่กำลังจะมาถึง เขาเชื่อว่าภัยร้ายจากกรรมเก่าคงกำลังจะมาถึงตัว

ย้อนไปในอดีต เมื่อยังเป็นเด็กเขาเป็นเพื่อนเล่นกับสัมพันธ์เพื่อนชาวเขมรที่ชายแดน สัมพันธ์มีน้องสาวชื่อโสมาลี ภาคย์กับสัมพันธ์เคยกรีดเลือดเป็นเพื่อนร่วมสาบานกัน ส่วนโสมาลี นั้นฝักใฝ่ทางมนต์ดำไสยศาสตร์อาคม กล่าวกันว่านางมีผีเลี้ยงและหายไปในป่าเมื่ออายุ 15 ปี

เมื่อสงคราม กัมพูชาทำให้แผ่นดินเพื่อนบ้านร้อนเป็นไฟ นายภาคย์ซึ่งกลายเป็นพ่อค้ารู้ลู่ทางธุรกิจแถวชายแดนดีก็มีรายได้จากชาวเขมร ที่ต้องการลี้ภัยสงครามเข้าไทย ความกลัวตายและต้องการอิสรภาพทำให้ผู้อพยพรุ่นแรกๆ ซึ่งเป็นคนชั้นสูงและมีอันจะกิน นำทรัพย์สินเงินทองมากมายมาแลกใบผ่านทางเข้าไทย ทั้งทองคำเก่าแก่ งาช้าง อัญมณี บางคราวยังมีรูปสำริดเศียรเทพที่ตัดจากปราสาทหิน ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ผ่านมาสู่มือนายภาคย์ เพื่อเป็นค่าจ้างและเบี้ยใบ้รายทาง เขามีรายได้จากธุรกิจนี้จนมั่งคั่งร่ำรวย เขาลงทุนไปไม่น้อยเพื่อช่วยสัมพันธ์เพื่อนร่วมสาบานและลำดวนหญิงสาวที่เขา หมายปองข้ามเข้าเขตไทยได้ แต่แล้วนายภาคย์ก็ต้องเสียใจเมื่อทราบว่าลำดวนได้เป็นเมียสัมพันธ์ไป แล้วอย่างเต็มใจ

สัมพันธ์ กับภาคย์เป็นเสมือนหุ้นส่วน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ สัมพันธ์ไม่เคยรู้ว่ารายได้จากกิจการนี้สูงมหาศาล ทั้งเมื่อพาเข้าไทยและหาทางส่งต่อไปประเทศอื่นๆ เขาเพียงต้องการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเท่านั้น

วันหนึ่งสัมพันธ์ นำสมบัติที่ซุกซ่อนมาจากฝั่งโน้นมาให้นายภาคย์ดูอย่างร้อนใจ สิ่งที่ห่อหุ้มด้วยผ้าถุงเก่าขาดรุ่ยราวผ้าขี้ริ้วนั้น คือ กล่องเงินเนื้อหนาบรรจุไพลินสามเม็ด มีดด้ามงาและอัญมณีสีประหลาด สัมพันธ์เล่าว่านี่คือสมบัติของเจ้าผู้สร้างนครเก่าแก่ เป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เคยถูกซุกซ่อนในปราสาทเก่าๆ รกร้าง เพื่อให้พ้นอันตราย และตกมาถึงมือเขาเพียงเพื่อดูแลชั่วคราวรอวันนำกลับคืนบ้านเมือง หาไม่แล้ว สักวันหนึ่งเจ้าของจะต้องตามทวงคืนด้วยเป็นของต้องคำสาป

ความโลภ ทำให้นายภาคย์ไม่คำนึงถึงบาป เขาเคยคุ้นกับเรื่องมนต์ดำลี้ลับในดินแดนเขมรมาตั้งแต่เด็ก รู้คาถาอาคมและการรักษาตัวรอดจากคุณไสย เขารู้ว่าของทั้งหมดนี้สามารถให้คุณอย่างมหาศาลแก่ผู้ครอบครอง

ดัง นั้นเมื่อเพื่อนอ้อนวอนให้ช่วยนำของอาถรรพ์และมีวิญญาณอนัณยตาคุ้มครองอยู่ นี้ไปคืนที่เดิม นายภาคย์จึงแสร้งเดินทางไปด้วย แล้วหักหลังเพื่อนร่วมสาบานด้วยการให้มือปืนฆ่าทิ้งเสียในป่าชายแดน เป็นจริงดังตำนานที่สัมพันธ์เคยกล่าว กล่องเงินจำหลักลายใบนั้นอำนวยโชคให้นายภาคย์อย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ครอบครองอยู่ นายภาคย์มีแต่ความรุ่งเรืองด้วยลาภแลทรัพย์มหาศาลชั่วชีวิต

สิ่งที่ เขาคิดไม่ถึงก็คือ โสมาลียังอยู่ และแรงอาฆาตของโสมาลีนั้นแรงนัก นายภาคย์พยายามตามหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ที่เขาหวังว่าจะมีอาคมพอที่จะปกป้องเขาได้จากแรงอาฆาตของโสมาลี น้องสาวของสัมพันธ์แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอ

เช้าวันหนึ่ง นายภาคย์ตื่นขึ้นพบว่าลำดวนเมียสาวหายไปอย่างไร้ร่องรอย เสื้อผ้าและเครื่องประดับยังอยู่ครบเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ห้องพระที่ลำดวนเข้าไปสวดมนต์ทุกคืนก็ยังมีรอยมาลัยวางอยู่ เพียงเทวรูปบูชาทั้งหมดเท่านั้นที่หายไป เขาคิดไม่ออกว่าหญิงสาวที่อยู่อย่างสงบเสงี่ยมในบ้านมานานถึง 5 ปี โดยไม่รู้จักโลกภายนอกจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร นอกจากถูกลักพาตัว

แต่ สิ่งที่ทำให้เขาเกือบช็อคคือภาพถ่าย เป็นภาพที่เขากับลำดวนขณะเปลือยเปล่าอยู่ด้วยกัน มีรอยคราบเลือดแห้งกรังเขียนไว้ว่า ด้วยเลือด…ด้วยวิญญาณ…ด้วยคำสาบาน…ด้วยชีวิต วันหนึ่งระหว่างที่ภาคมนอนหลับ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเจิดจำรัส ว่าความฝันของตนเองจะเป็นจริงเพียงไร เจิดจำรัสแอบเข้าไปยังบ้านของนายภาคย์ เปิดรหัสห้องสมุดเปิดเซฟตามที่เห็นในฝัน เธอต้องตะลึงราวต้องมนต์สะกดเมื่อพบว่ามีของล้ำค่าอยู่จริงทุกชิ้นเหมือนที่ เคยฝันเห็น แม้รู้ดีว่าของทั้งหมดก็ต้องตกทอดเป็นมรดกของเธอผู้เป็นสะใภ้คนเดียวของบ้าน แต่ความอยากได้ใคร่รู้ เจิดจำรัสหยิบไพลินไป 1 เม็ด ด้วยตั้งใจจะขอยืมไปนอนดูเล่นประสาผู้หญิง คืนนั้นเจิดจำรัสถูกมนต์ของอนัณยตาพาดิ่งสู่ความฝันและคว้าไพลินเม็ดนั้นไป เมื่อตื่นขึ้น เธอหาไพลินเม็ดนั้นไม่พบ แม้จะค้นจนแทบพลิกห้องดูจนทั่ว และคืนนั้น ภาคมก็หลับไปกับความรักที่มีต่ออนัณยตา โดยไม่คิดจะตื่นขึ้นมาอีก…

จ้าละหวั่น กันไปทั่วทั้งบ้าน มารดาของภาคมและเจิดจำรัสต่างไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร แม้แต่แพทย์ก็กล่าวว่าดูเป็นการนอนหลับไปเฉยๆ นายภาคย์ได้รับรู้เรื่องนี้อย่างหวั่นหวาด หรือกรรมชั่วในอดีตและแรงอาฆาตของโสมาลี หญิงอัปลักษณ์ลี้ลับกำลังจะสนองเขา ด้วยการพรากลำดวนเมียรักและลูกชายคนเดียวของเขาไปพร้อมกัน และไม่สามารถทำร้ายเขาโดยตรงได้ เนื่องจากเขารู้อาคมและระวังการใช้ชีวิตตลอดทุกฝีก้าว เฉพาะอย่างยิ่งอาหารการกิน ที่ร้านขายวัตถุโบราณแหล่งจับจ่ายของนักสะสมของเก่าชาวต่างชาติ ภาคย์มาขอร้องจันท์ขาว หญิงสาวเจ้าของร้านขายของเก่าให้บอกที่อยู่เพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขา หลังจากที่เคยมาหาก่อนหน้านี้แล้วได้รับการปฏิเสธ

ศิขร เพื่อนร่วมงานเก่าแก่ที่นายภาคย์ต้องการพบอย่างยิ่ง บัดนี้นัยน์ตาบอดพำนักอยู่ในบ้านทรุดโทรมริมน้ำที่มีทางเดินเข้าออกค่อนข้าง ลำบาก จันท์ขาวยอมปิดร้านครึ่งวันเพื่อพานายภาคย์ไปพบ อ้อนวอนอยู่นานมาก ศิขรซึ่งละเลิกจากทางไสยศาสตร์หันพึ่งธรรมะจึงแอบยัดของบางอย่างใส่มือภาคย์ ในนาทีเดียวกับที่จันท์ขาวเข้ามาเร่งให้กลับพอดี เพราะเธอนัดลูกค้าไว้ที่ร้าน ระหว่างที่ภาคมจมดิ่งอยู่ในดินแดนในฝันอันสวยงามราวภาพมายา อนัณยตานำเขาท่องไปทั่วในวันคืนอันรุ่งเรืองแห่งอดีตกาลของอาณาจักรขอมโบราณ เขาเริงรื่นเพลินใจในเสน่ห์อารยธรรมและรสรักหอมหวานที่อนัณยตาปรนเปรอ

มารดา ของภาคมปรึกษาผู้ทรงศีล เขาทำพิธีได้เพียงคล้องสายสิญจ์และปัดเป่าเรื่องร้ายให้เบาบาง แต่ไม่สามารถลบรอยกรรมและแรงอาฆาตของวิญญาณที่รอการล้างแค้นนานนับปีนับ ศตวรรษได้ นายภาคย์กลับมาบ้าน นำยาเม็ดกลมสีดำที่ศิขรเรียกว่า “ลูกเลือนสวาท” ยัดใส่มือให้ มาใส่ปากภาคมพร้อมอ่านคาถากำกับ ภาคมฟื้นขึ้นอย่างงุนงง ทั้งที่ไม่ต้องการจะตื่น เขาต้องการกลับไปหาอนัณยตา การหายไปของลำดวนและการที่เขาเกือบสูญเสียลูกชายทำให้นายภาคย์สำนึกในกรรม ที่ก่อไว้กับเพื่อนร่วมสาบานและการทำเงินจากการค้าชีวิตคนแลกกับของสำคัญคู่ บ้านคู่เมือง ที่ไม่ต่างอะไรกับการเป็นโจรปล้นชาติปล้นแผ่นดิน เขาไม่อาจสู้หน้าลูกชายได้ แต่ก็ต้องปกป้องเขาจากแรงอาฆาตของโสมาลีและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จะทวงของ คืน เขาตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าอดีตอันน่าละอายให้ภาคมอ่าน แล้วหนีหน้าหายไป

ภาคมได้รับรู้เรื่องราวปูมหลังของบิดาจากจดหมาย ฉบับนั้นเอง ความตอนหนึ่งคือที่มาของทรัพย์สมบัติในบ้านว่าเพิ่มพูนได้มาจากของ ศักดิ์สิทธิ์ที่บิดาเก็บไว้เพื่อให้โชค เพราะเมื่อชายแดนเขมรลุกเป็นไฟเพราะสงครามนั้น มีการโยกย้ายเทวรูปสำคัญหลายองค์ไปซ่อนให้พ้นมือต่างชาติ ในบรรดาเทวรูปเหล่านั้น มีเทวรูปสำคัญมากองค์หนึ่ง ก่อนย้ายได้ถูกถอดเครื่องทรงเครื่องประดับล้ำค่าลงเก็บไว้ในกล่องเงินสลักลง คาถาอาคมไว้ และนั่นเองคือของมีค่าในเซฟของบิดา นายภาคย์ย้ำขอให้ภาคมตามหาไพลินเม็ดที่หายไปจากเบ้ากลับมาคืนเพื่อรอติดต่อ ให้คนมารับกลับไปคืนยังบ้านเมือง นายภาคย์รุดไปปรึกษาศิขรเพื่อนเก่าให้หาทางช่วย แต่ศิขรก็เสียชีวิตไปต่อหน้า ภาคมก็เปิดดูเซฟอีกครั้ง กล่องเงินสลักลายหายไปแล้ว เขาว้าวุ่นผลุนผลันออกจากบ้าน ในช่วงเวลานั้น คุณหญิงศรีสวัสดิ์ชวน

เจิดจำรัสลูกสะใภ้ไปหาที่พึ่งทางใจที่นาง รู้จัก จันทน์ขาวปรากฏตัวในฐานะเจ้าของร้านของเก่าอีกครั้ง เธอเป็นผู้นำร่างทรงมาพบคล้ายบังเอิญ ไม่มีใครทราบว่าร่างนั้นคือลำดวน ในชื่อ ศิริปรางค์ คำทำนายที่ตรงความจริงทุกประการทำให้ทั้งสองทึ่ง แต่คุณหญิงศรีสวัสดิ์ไม่อาจทนฟังวิธีการทำเสน่ห์ที่แม่หมอแนะเจิดจำรัสได้ เจิดจำรัสหญิงที่ทะนงในรูปและโชคของตนเองต้องตัดสินใจว่า เธอจะทำเสน่ห์เพื่อเรียกสามีกลับคืนด้วยพิธีกรรมสกปรก หรือจะปล่อยให้เขาหลุดมือไป เธอสับสนว่านี่คือความรักที่แท้หรือความหึงหวง ภาคมมุ่งหน้าไปที่บ้านริมทะเลของบิดา ระหว่างทางพบชายชราคนหนึ่งขออาศัยรถไปลงที่บ้านเก่าๆ ในดงมะม่วง ชายชราผู้นี้หยั่งรู้ถึงอดีตและความทุกข์ใจของทั้งนายภาคย์และภาคม คำปลอบใจและความปรารถนาดีของชายชราทำให้จิตใจของภาคมดีขึ้น เขาขับรถต่อไปยังบ้านพักชายทะเลของนายภาคย์ คนเฝ้าบ้านฝากมะพร้าวน้ำหอม และดอกลำดวนหอมกรุ่นใส่รถให้ภาคมนำกลับบ้านไปฝากบิดา

ภาคมไม่ลืมคำ เตือนของชายชราที่ห้ามรับใครขึ้นรถระหว่างทางโดยเด็ดขาด แต่กลิ่นดอกลำดวนหอมในกระทงนั้นต่างหากที่ตามมาด้วยตลอดทางจนถึงบ้าน แรงแค้นของนางมารเร่งทำร้ายครอบครัวนายภาคย์ด้วยการพาให้ภาคมดิ่งลึกลงไปใน ฝันที่จะเสพย์สุขกับอนัณยตาอีก ขณะที่เจิดจำรัสก็ได้รับรู้ว่าภาคหมดรักเธอแล้วโดยสิ้นเชิง

เจิด จำรัสกินยาตาย ช่วยวินาทีที่ความตายกำลังยื้อยุดกับชีวิตของเจิดจำรัส เธอได้พบชายชราคนเดียวกับที่ภาคมได้พบในดงมะม่วง แม้เจิดจำรัสในภพปัจจุบันไม่ใช่คนดีเลิศ แต่ก็ไม่ใช่คนบาป เธอเป็นเพียงเหยื่อความแค้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมชั่วของนายภาคย์เลย และเมื่อย้อนไปในปางก่อน เจิดจำรัสเป็นคนดีมีเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้ทุกข์ยาก ชายชราปรากฏตัวเพื่อเรียกสติเจิดจำรัสให้ข่มความทุกข์ใจครั้งนี้ และกลับไปสู่ชีวิตเดิมเพื่อช่วยสามีด้วยความมีสติ เพราะมีเพียงเธอผู้เดียวเท่านั้นที่ช่วยกู้สถานการณ์ได้

ภาคย์เริ่ม ได้คิด ว่าที่แท้ลำดวนเมียรักคือร่างทรงของโสมาลีที่เข้ามาในชีวิตเขา รอเวลาแก้แค้นอย่างอดทน เฝ้าปรนนิบัติจัดอาหารและน้ำดื่ม สวดมนต์ทำพิธีกรรมนานาทุกคืนเพื่อทำลายอาคมในตัวเขาตลอด 5 ปีเต็ม อีกซีกหนึ่งของเมือง นายชัชวาลย์ รองประธานบริษัทของนายภาคย์กำลังกราดเกรี้ยว บ่นบริภาษจันทน์ขาว ผู้เป็นทั้งภรรยาลับ และเป็นร่างทรงหนึ่งของโสมาลี โทษที่ไม่กำจัดลำดวนเสีย แต่ปล่อยกลับไปอีก จนนายภาคย์สงสัยและจับลำดวนส่งตำรวจ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยข้อหาอะไรก็ตาม ย่อมนำความเดือดร้อนมาถึงเขาได้ทั้งสิ้น เพราะนายชัชวาลย์นี่เอง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการพาคนต่างด้าวเข้าเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

นาย ชัชวาลย์ลำเลิกบุญคุณอย่างโกรธเกรี้ยวกับจันทน์ขาว เขาลงทุนไปมากมายช่วยให้ผู้คนจากชายแดนได้เข้ามามีโอกาสทำพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยเวทย์มนต์คุณไสยตามที่ต้องการ และยังจัดการให้ร่างทรงร่างสื่อเหล่านั้นเข้าถึงตัวนายภาคย์ได้ ขอเพียงแค่ให้นายภาคย์และภาคมพินาศลงและเขาได้เข้ายึดครองกิจการเท่านั้น แต่นานวันอนัณตยาก็ยังไม่ยอมทำร้ายภาคมให้เรื่องจบสิ้น เขาก่นด่าว่าอนัณยตาเป็นวิญญาณที่โหยหิวเล่นรักไม่รู้จักอิ่ม พลันร่างของจันทน์ขาก็โงนเงนล้มลง ชัชวาลย์ตกใจเพราะเชื่อว่าโสมาลีไม่สามารถเข้ามาในห้องพิเศษใต้ดินห้องนี้ ของเขาได้ แต่เพราะนี้คือ อนัณยตา วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เข้มแข็งกว่าโสมาลี ด้วยแรงแค้นที่ใกล้จะบรรลุผล มาบัดนี้อนัณยตาไม่ต้องใช้นายชัชวาลย์เป็นเครื่องมืออีกต่อไปแล้ว

ชัชวาลย์ พนมมือร้องขอชีวิต อนัณยตาเพียงชำเลืองมองโดยไม่สัมผัสแตะต้องคนใจบาป เสียงศีรษะมนุษย์โขกกับพื้นซีเมนต์เป็นจังหวะ หนักแน่น รุนแรง ดังขึ้นแล้วหยุดสนิทลงพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายและจิตวิญญาณอันละโมภของนาย ชัชวาลย์ที่หลุดไปจากร่าง ด้วยดวงจิตอันเข้มแข็งและรู้ใจตนเองแน่วแน่ เจิดจำรัสมุ่งหน้าไปหาจันทน์ขาว หญิงที่ทั้งโสมาลีและอนัณยตาผลัดกันใช้เป็นสื่อหรือร่างทรงร่างหนึ่งเพื่อ แทรกเข้ามาสู่สังคมของนายภาคย์ เจิดจำรัสเข้าใจดีถึงความทุกข์ทรมานที่ดวงวิญญาณอนัณยตาต้องแบกรับไว้นานนับ ร้อย ๆ ปี เจิดจำรัสรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีกล่าวขออโหสิกรรมต่ออนัณยตา นาทีแห่งการต่อรองนั้น อนัณยตาพาเจิดจำรัสข้ามมิติไปสัมผัสอาณาจักรของเธอในคืนวันอันรุ่งเรือง บ้านเมืองร่มเย็น ปราสาทหินมหึมาราวสวรรค์สร้าง ผู้คนแต่งกายงามและกลิ่นไม้หอมอวลอยู่รอบกาย

บัดเดี๋ยวภาพนั้นก็ กลายเป็นการสู้รบกันเอง การย่ำยีโดยทัพเพื่อนบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า ชาวบ้านอพยพเทวรูปบูชาองค์เทพตามความเชื่อของตน ผู้คนระหกระเหินซอกซอนเข้าป่าลึก มีเทวาลัยเล็กๆ ระหว่างหุบเขาริมธารน้ำเป็นที่หมาย คนเฝ้าเทวาลัย 2 ผัวเมียพยายามขโมยเทวรูปทองคำและเครื่องทรงประดับอัญมณีมีค่าด้วยความละโมภ กรรมจึงตกแก่บุตรสาววัยแรกแย้มที่กำลังสดใสด้วยความรัก อนัณยตาถูกสังเวยให้ดวงวิญญาณทำหน้าที่พิทักษ์กล่องเงินบรรจุเครื่องทรง เทวรูป ผนึกแน่นด้วยอาคมนานนับร้อยปี ถึงวันนี้ก็มิเคยได้กลับแผ่นดิน ภาพสะเทือนใจเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจิดจำรัสตั้งสติมั่นพร้อมที่จะรับรู้มา ก่อนแล้ว คำสอนของชายชราลึกลับที่พร่ำเตือนให้เจิดจำรัสระลึกสติอยู่เสมอ ทำให้เจิดจำรัสมีกุศลจิตเห็นใจในความทุกข์ทรมาน และร่วมเสียใจในความทุกข์ของวิญญาณอนัณยตา ศรัทธาที่เพื่อนร่วมชาติมีต่อเทวะของตน คือ แรงบันดาลให้อนัณยตามีความมุ่งมั่นแรงกล้าเพื่อบรรลุภารกิจ แต่เมื่อพบคนที่เข้าใจแท้จริง นางก็มิใช่มารร้ายอีกต่อไป

เจิดจำรัส สัญญากับจันทน์ขาวว่า จะพยายามหาของมีค่าทั้งหมดมาคืนอนัณยตา แต่นางมารอีกตนหนึ่งต่างหาก ที่แรงอาฆาตรุนแรงเกินกว่าที่เจิดจำรัสจะสกัดกั้นได้ ภาคมต้องมนต์โสมาลี เขามั่นใจว่าเพียงขอโลหิตบิดาสัก 2 หยด รดลงบนรูปสลักหญิงงามบนกล่องเงินใบนั้น อนัณยตาก็จะปรากฏกายเป็นตัวตนและอยู่กับเขาตลอดไป ขณะที่นายภาคย์ตั้งใจจะนำของมีค่าในกล่องเงินนั้นออกทิ้งทะเลเขาก็ได้รับ โทรศัพท์ของร้องจากภาคมว่า ต้องการกล่องใบนั้นมากที่สุด ด้วยความรักลูก ภาคย์รอภาคมอยู่ที่บ้านริมทะเล รำลึกถึงความผิดบาปที่กระทำมาตลอดชีวิต ทั้งการทรยศเพื่อร่วมสาบาน การยึดถือครอบครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจเรียกได้ว่าเป็นการปล้นชาติซ้ำเติมคน ทุกข์ไร้แผ่นดิน การนอกใจภรรยา และวิธีการเลี้ยงลูกอย่างผิดๆ จนจิตอ่อนให้มารรุกได้

เมื่อภาคมตามมาถึง และเฝ้าอ้อนวอนขอกล่องเงินจำหลักลายใบนั้น นายภาคย์ปลงตก แต่สู้ประวิงเวลาด้วยการชวนภาคมดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนจากต้นที่ปลูกเองในบ้าน เพียงอึกแรก เขาก็ได้รับรู้พิษแห่งยาสั่งที่สะสมในตัวเขามานานปี เขารู้จุดจบตัวเอง แข็งใจหยิบกล่องเงินให้แก่ลูกชาย พยักหน้าอนุญาตเมื่อภาคขอกรีดเลือดบิดาหนึ่งหยด รดลงรูปสลักหญิงงามบนกล่อง พลันที่มีดด้ามงาจรดปลายนิ้ว เลือดไหลปรี่รินเปรอะไปทั้งกล่อง แต่ อนัณยตาก็มิอาจมีชีวิต แรงแค้นของโสมาลีทำให้นายภาคย์ได้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้แล้ว ด้วยเลือด ด้วยวิญญาณ ด้วยคำสาบาน ด้วยชีวิต เจิดจำรัสมาไม่ทันช่วยชีวิตภาคย์ โสมาลียังคงพยายามเร่งแรงแค้นให้ภาคมเสียสติไปกับความลุ่มหลงลืมตน ทว่า อนัณยตาพยายามปกป้อง ทั้งด้วยความรักที่นางเพิ่งเคยรู้รส และด้วยคุณธรรมที่รู้สติรู้หน้าที่ ว่าการใดควรหรือไม่ควร

ด้วยสติ อันมั่นคงและความรักต่อสามี เจิดจำรัสรีบรับโถน้ำมนต์จากมือบิดามากล่าวบูชาพระพุทธคุณแล้วรินรดลงกางกระ หม่อมภาคมผู้กำลังพร่ำหาอนัณยตาอย่างคลุ้มคลั่ง ภาคมสะดุ้งเยือกเมื่อมารร้ายที่ครอบงำเขาไว้ปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ กล่องเงินร่วงตกกระทบพื้น รอยยิ้มเหยียดเย้ยบนปากบางเฉียบแดงฉานด้วยเลือด และเสียงหัวเราะหยันที่ค่อย ๆ จางหาย บอกให้รู้ว่านางมารทั้ง 2 ได้ทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์แล้ว

ผู้กำกับ : ชุติกุล สุตสุนทร
ผลิตโดย : เป่าจินจง
เขียนบท : ศิรินภา วสุกุล
บทประพันธ์ : เพไนย เพียงศูนย์

นักแสดงละคร นางมาร

1. ดนุพร ปุณณกันต์ แสดงเป็นเป็น ภาคม
2. วรรัตน์ สุวรรณรัตน์ แสดงเป็นเป็น อนัณยตา
3. เกวลิน คอตแลนด์ แสดงเป็นเป็น เจิดจำรัส
4. นพพล โกมารชุน แสดงเป็นเป็น นายภาคย์
5. สุพรรษา เนื่องภิรมย์ แสดงเป็นเป็น คุณหญิงศรีสวัสดิ์
6. ภัสสร บุญยเกียรติ แสดงเป็นเป็น โสมาลี
7. ยิ่งยง ยอดบัวงาม แสดงเป็นเป็น สัมพันธ์
8. รัชนี ศิระเลิศ แสดงเป็นเป็น จันทน์ขาว
9. ลิซ่า ไปรพิศ แสดงเป็นเป็น ลำดวน
10. วัชระ ปานเอี่ยม แสดงเป็นเป็น ชัชวาล
11. สมภพ เบญจาธิกุล แสดงเป็นเป็น รัฐมนตรีพิเศษ นาภี
12. ดวงใจ หทัยกาญจน์ แสดงเป็นเป็น คุณหญิงสุดใจ
13. ชุมพร เทพพิทักษ์ แสดงเป็นเป็น ปู่

ละคร นางมาร 2562

เงาใจ

ไทดีพาร์ทเมนท์สโตร์เป็นห้างของคนไทยห้างเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน บริหารงานโดยตระกูลวุฒิธรรมคือ คุณวิทย์ และ วาทิต ลูกชายบุญธรรม วาทิตเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถ หากแต่เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างรุนแรง ไม่ชอบให้ใครขัดใจ ด้วยความสามารถของวาทิตทำให้ห้างฯ ขยายตัวต่อเนื่องท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่วาทิตมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจต้องได้รับการดูแลจากหมออย่างใกล้ชิด คุณวิทย์เป็นกังวลกับอาการป่วยของวาทิตเป็นอย่างมาก เพราะหากวาทิตเป็นอะไรไป ความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นจะหมดไปทันที

ความเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ของวาทิต ทำให้มีสาวๆ หลงใหลในตัวเขามากมายหนึ่งในจำนวนนั้นคือ กินรี บุตรสาวของ กิจจา แพทย์ประจำตัวของวาทิต กินรีพยายามเอาชนะใจเขาตลอดแต่ไม่เป็นผล เธอได้แต่หวังว่าวันหนึ่งวาทิตจะเห็นความดียอมรับรักเธอบ้าง แต่วาทิตมองเห็นกินรีเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น เขาหลงรักแต่เพียง เมทินี บุตรสาวของ คุณมณี ญาติห่างๆ ของคุณวิทย์

เมทินีรักอยู่กับอังกูร ซึ่งดูภายนอกเป็นคนอ่อนหวาน ตั้งใจทำงาน หากแต่ความจริงแล้วเขามีความแค้นฝังลึกอยู่กับตระกูลวุฒิกรรม พ่อของเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารยุคบุกเบิกของห้างไท แต่โดนคุณวิทย์ไล่ออกเพราะขัดแย้งทางธุรกิจจนต้องตรอมใจตาย ทิ้งให้อังกูรอยู่กับแม่แต่เล็ก อังกูรตั้งใจว่าวันหนึ่งจะต้องยึดธุรกิจนี้มาเป็นของตัวเองให้ได้

คุณวิทย์มาหาคุณมณีเพื่อขอร้องให้เมทินีแต่งงานกับวาทิต โดยมีข้อเสนอจะสนับสนุนไมตรี น้องชายเมทินีเรียนจนสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เมทินีตอบปฎิเสธเพราะเงินไม่มีวันซื้อหัวใจเธอได้ เธอรักกับอังกูรไม่มีวันจะเลิกกับเขา

คุณวิทย์ไม่อยากให้วาทิตผิดหวัง เขาจึงเรียกอังกูรเข้ามาพบและยื่นข้อเสนอให้เข้าทำงานในตำแหน่งสูงของไทดีพาร์ทเมนท์สโตร์ โดยแลกกับการเลิกกับเมทินี อังกูรเห็นเป็นโอกาสที่จะเล่นงานตระกูลวุฒิธรรมและแย่งบริษัทกลับมา เขาจึงตอบตกลง

อังกูรบอกเลิกกับเมทินีโดยให้เหตุผลว่าเพื่ออนาคตของเธอและเขา ทั้งสองสัญญาว่าจะยังรักกัน แม้ไม่มีโอกาสร่วมชีวิตก็ตาม เมทินีจำต้องยอมแต่งงานกับวาทิตทั้งน้ำตาทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของเมทินี เขามั่นใจว่าด้วยความรักที่เมทินีให้เขา เธอต้องแต่งงานใหม่กับเขาแน่นอน

ที่ไร่สงบแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี รุทรทำงานคุมฟาร์มปศุสัตว์ของ จำนง เพื่อนของเขาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย โดยหวังว่าจะทำให้ลืมความผิดหวังที่ บุษบัน คนรักซึ่งไปเรียนต่อเมืองนอกแต่งงานกับ ระวี นักธุรกิจชาวไทยในอเมริกา

รุทรแปลกใจที่ อนุวัตรและ จำนง เอารูปงานหมั้นระหว่างวาทิตกับเมทินีมาให้ดู เพราะวาทิตหน้าเหมือนเขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน คุณแรม เมื่อเห็นรูปก็ดีใจและเล่าเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับวาทิต ลูกชายฝาแฝดที่เธอยกให้นายวิทย์เพราะความยากจนให้ฟัง รุทรจึงเข้าใจและทราบว่าเขายังมีพี่น้องฝาแฝดอยู่อีกคนหนึ่ง

ในวันแต่งงานของเมทินีกับวาทิต อังกูรนำของขวัญมาให้เมทินีเพื่อเป็นการระลึกถึงซึ่งกันและกัน วาทิตโรคหัวใจกำเริบเมื่อเห็นของขวัญอังกูร เป็นจี้พร้อมสร้อยรูปหัวใจ เขาล้มคว่ำลงจนต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที

เมทินีรู้สึกผิดที่ทำให้วาทิตล้มป่วย กินรีมาเยี่ยมวาทิต เมื่อเธอรู้สาเหตุที่แท้จริงเธอยิ่งโกรธที่เมทินีเห็นคนอื่นดีกว่าสามีตัวเอง กินรีเฝ้าดูแลวาทิตด้วยความเป็นห่วง เมทินีได้แต่มองกินรีอย่างเห็นใจ

อังกูรเข้าทำงานในไทดีพาร์ทเมนต์สโตร์ สร้างฐานอำนาจให้ตัวเองโดยดึง วินิจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อไว้เป็นพวกและร่วมกันโกงบริษัท อาศัยช่วงที่คุณวิทย์ยุ่งกับการป่วยของวาทิต ในช่วงนี้อังกูรเข้ามาใกล้ชิดกับเมทินี โดยไม่กลัวว่าจะน่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย

เมื่ออังกูรรู้ว่าอาการป่วยของวาทิตเริ่มกระเตื้องขึ้น เขาจึงเริ่มแผนการชั่วร้ายทันที อังกูรลอบเข้าไปในโรงพยาบาล ลอบวางยาทำให้วาทิตหัวใจวายอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเดินหายออกไปอย่างไร้ร่องรอย พอคุณวิทย์มาเยี่ยมวาทิต เขาต้องตกใจมากเมื่อพบว่าวาทิตสิ้นลมด้วยอาการคล้ายโรคหัวใจกำเริบ คุณวิทย์กลัดกลุ้มมากเพราะด้วยสถานการณ์ทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้นจะรู้ว่าวาทิตตายไม่ได้เป็นอันขาด อีกทั้งเขายังสงสัยว่ามีคนลอบทำร้ายวาทิตให้เสียชีวิตอีกด้วย

คุณวิทย์นึกถึงรุทรพี่ชายฝาแฝดของวาทิตขึ้นมาได้ทันที เขารีบเดินทางไปราชบุรีเพื่อนำรุทรมาแทนวาทิต ตอนแรกรุทรไม่ยอม แต่เพราะคุณแรมล้มป่วยด้วยโรคไตซึ่งต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมาก ทำให้รุทรยอมตกลงทำงานให้วิทย์ในที่สุด

รุทรในฐานะวาทิตกลับมาบ้านพร้อมกับคุณวิทย์ ทุกคนในบ้านต้อนรับด้วยความยินดี ในขณะที่เมทินีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัววาทิตเริ่มหาทางจับผิด

รุทรไม่พอใจเมทินีเมื่อเห็นเธอสนิทสนมกับอังกูร ทั้งๆ ที่ยังแต่งงานแล้ว ทั้งสองมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ทุกครั้งสร้างความแปลกใจให้เมทินีมากยิ่งขึ้น เพราะบุคคลิกของรุทรต่างจากวาทิต เขาเป็นมิตรกับทุกคนในบ้านพูดคุยกับทุกคนอย่างอารมณ์ดี

วันหนึ่งขณะไปเยี่ยมคุณมณีที่บ้านสวน เขาบอกให้เมทินีพาคุณมณีกับไมตรีมาอยู่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นวาทิตไม่อยากจะให้แม่กับน้องเธอมาอยู่ที่บ้าน เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความประทับใจให้กับเมทินีอย่างบอกไม่ถูก เธอเริ่มมีความรู้สึกดีกับรุทรมากขึ้น

อังกูรผิดหวังที่วาทิตไม่ตาย เริ่มสงสัยในตัวรุทรเพราะเมื่อกลับมาทำงานแล้วไม่เหมือนวาทิตคนเดิม รุทรไม่รู้เรื่องธุรกิจเลยจึงทำให้อังกูรเกือบจับผิดได้หลายครั้ง เขาได้กินรีคอยช่วยเหลือแนะนำอยู่เสมอ จึงทำให้พ้นความสงสัยของผู้บริหารคนอื่นๆ ไปได้ ความสนิทสนมระหว่างกินรีกับรุทรมีมากขึ้น จนบางครั้งเมทินีรู้สึกหึงหวงโดยไม่รู้ตัว

อังกูรเริ่มแผนชั่วของตัวเองต่อไป เขาได้เสียกับ รวย เลขาของคุณวิทย์เพื่อใช้ขโมยข้อมูลของบริษัทมาให้เขากับวินิจ ทั้งสองคนยักยอกเงินบริษัทไปได้หลายล้านบาท รวยร่วมมือกับอังกูรเพราะเขาให้สัญญาว่าจะจริงจังกับเธอ ในระหว่างนี้รวย
เกือบจะมีปากเสียงกับเมทินีหลายครั้งเพราะความหึงหวงอังกูร ดีแต่ว่าอังกูรมาห้ามไว้ทัน

รุทรจำเป็นต้องไปเยี่ยมแม่ซึ่งป่วยอยู่ที่ราชบุรีบ่อยๆ ยิ่งเพิ่งความสงสัยให้เมทินีมากขึ้น เพราะเธอไม่เคยเห็นวาทิตออกต่างจังหวัดเลยตั้งแต่คบกันมา มีครั้งหนึ่งที่เธอสะกดรอยตามเขาไป แต่พลาดกันเพราะกินรีเข้ามาขัดขวางไว้

กินรีลอบตามรุทรต่อไปจนถึงไร่ที่ราชบุรี เธอบังคับให้รุทรเล่าความจริงทั้งหมด กินรีบอกกับรุทรว่าเธอสงสัยเมทินีจะร่วมกับอังกูรกำจัดวาทิต เพื่อครอบครองบริษัทไว้เป็นของตัว แต่รุทรไม่อยากจะเชื่อขอพิสูจน์ด้วยตัวเอง

ธุรกิจดีพาร์ทเมนต์สโตร์เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ระวีนักธุรกิจชาวไทยสัญชาติอเมริกันติดต่อขอซื้อหุ้นร่วมทุนกับคุณวิทย์ ในการติดต่อครั้งนี้ทำให้บุษบันได้พบกับรุทร เธอยังคงจำเขาได้ เธอเชื่อมั่นว่าเขาคือรุทรไม่ใช่วาทิตตามที่กล่าวอ้าง

การติดต่อเจรจาล้มเหลว คุณวิทย์ไม่ยอมขายหุ้นให้กับระวี ระวีจึงคิดหาทางรวบธุรกิจของคุณวิทย์โดยไม่ถูกต้อง เขาเจรจากับอังกูรเพื่อร่วมกันกำจัดรุทรและวิทย์ให้พ้นทาง บุษบันมาบอกกับรุทร ขอหนีไปอยู่ที่ไร่ราชบุรีเพื่อหนีจากระวี เพราะเธอทนกับพฤติกรรมความเจ้าชู้ของระวีไม่ได้อีกแล้ว ด้วยความรักที่เคยมีให้บุษบันทำให้รุทรยอมเล่าความจริงให้บุษบันฟังและรับปากว่าจะช่วยเหลือเธอ

เมทินีเอาเรื่องวาทิตตัวปลอมไปปรึกษากับอังกูร อังกูรจึงบอกให้เธอร่วมมือกับเขาเปิดโปงว่ารุทรไม่ใช่ตัวจริง อังกูรบอกกับระวีสืบหาหลักฐานเพื่อมัดตัวรุทรและกล่าวหาว่าเขาเป็นคนฆ่าวาทิต

ในวันที่รุทรพาบุษบันไปราชบุรี เมทินีตามไปด้วยและรู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่วาทิต เธอโกรธมากและขอแยกทางกับเขา รุทรพยายามพูดให้เมทินีเข้าใจ แต่เธอไม่ยอมฟัง เธอคิดว่ารุทรฆ่าวาทิตเพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ

กลับมากรุงเทพฯ เมทินีหาทางเข้าพบคุณวิทย์เพื่อบอกความจริงทั้งหมด แต่คุณวิทย์ติดประชุม เธอจึงกลับมาที่บ้านพร้อมกับจัดกระเป๋าเสื้อผ้ากลับไปอยู่ที่บ้านสวน รุทรตามไปง้อเมทินีแต่เธอไม่ยอม ด้วยโทสะทำให้รุทรลวนลามกอดจูบเมทินีเพราะเธอด่าว่าหาว่าเขาเป็นคนเลว เมทินีตบหน้าเขาอย่างจังไล่ให้รุทรกลับบ้าน รุทรกลับไปพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย

ในเวลาเดียวกันนั้นเองคุณวิทย์กลับมาบ้านและถูกลอบยิงจนเสียชีวิต อังกูรอ้างเป็นผู้หวังดีโทรบอกตำรวจว่ารุทรเป็นวาทิตตัวปลอม ตำรวจรวบรวมหลักฐานทั้งหมดระบุว่ารุทรคือผู้ต้องสงสัยฆ่าสองพ่อลูกเพื่อหวังสมบัติ

รุทรเกือบจะแย่โดนตำรวจดำเนินคดี ดีที่เมทินียืนยันได้ว่าเขาอยู่กับเธอในเวลาเกิดเหตุ รุทรจึงไม่โดนตำรวจจับ

ต่อมาด้วยความช่วยเหลือของบุษบัน กินรีและเมทินี ทำให้รุทร สามารถเปิดโปงได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคืออังกูรและระวี

หลังเปิดพินัยกรรม คุณวิทย์ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้กับเมทินี รุทรลาเมทินีกลับไปยังฟาร์มราชบุรี แต่เมทินีขอร้องให้เขาทำหน้าที่วาทิตต่อไป แต่รุทรปฎิเสธเพราะเขาต้องการกลับไปดูแลคุณแรมที่ป่วยเป็นโรคไต เมทินีเข้าใจรุทรสัญญาว่าจะเป็นเงาใจซึ่งกันและกันตลอดไปทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

คำมั่นสัญญา 2545

ชลันดา และสาริน ในคำมั่นสัญญา จะเป็นรักหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำแสนดีนั้น “ในความรัก…พี่รินไม่เลือกตัวเอง แต่เลือกเกียรติยศและไม่ใช่ของพี่ริน หากเป็นเกียรติยศของน้องดา…น้องดางดงามมาตลอด ขอให้งดงามจนวาระสุดท้าย”