Tag Archives: ว.วินิจฉัยกุล

เมืองโพล้เพล้ 2535

เมืองโพล้เพล้ เป็นเมืองที่อยู่บนเส้นคาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลงจากความคิดของคน หลายกลุ่ม ซึ่งต่างก็หวังให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ หลายบุคลิกในแต่ละ ตัวละครนำเสนอความคิดที่น่าสนใจ แฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน
 
นักแสดง เมืองโพล้เพล้
 
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ แสดงเป็น กำนันโดด
กมลชนก โกมลฐิติ แสดงเป็น ป่านา
อนันต์ บุนนาค
จามจุรี เชิดโฉม
โน้ต เชิญยิ้ม

ออกอากาศ วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2535 ถึง วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535

เบญจรงค์ห้าสี 2528

เบญจรงค์ห้าสี เป็นเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงห้าคน ห้าแบบที่แทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย…มีอยู่อย่างเดียวคือ ทั้งห้าคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
 
เริ่มตั้งแต่มนสินี ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ภายนอกเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าใครเพื่อน ฉลาด สุขุมและเยือกเย็น…มั่นคงทั้งฐานะ และอาชีพการงาน…แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ท่าทีที่มั่นคงของเธอนั้น เธอซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อย่างเงียบงัน จนวันหนึ่งเมื่อมันแสดงตัวออกมา…นั่นก็เกือบจะทำให้เธอต้องตกลงไปในหุบเหวแห่งชีวิตอันเต็มไปด้วยขวากหนาม…
 
คนที่สอง…วาตี วาตีเป็นสาวเปรี้ยว มีนิสัยตรงไปตรงมาจนออกจะดูโผงผางในบางครั้ง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสาวมั่น…แต่ลึก ๆ ในใจเธอ เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองช่างว่างเปล่า จนเธอต้องเพียรหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเติมให้เต็มอยู่เสมอ…
 
คนที่สาม…ช้องนาง…หญิงสาวผู้มีชีวิตอยู่ในกฏระเบียบอันครัดเคร่ง…ด้วยความที่เธอต้องดูแลตัวเองมาตั้งแต่ยังเยาว์ และความภาคภูมิใจในอาชีพครูของเธอ…แต่เมื่อความรักเข้ามาเยือน เธอก็จำต้องย่อหย่อนผ่อนปรนความเคร่งครัดของกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ลงไปเพื่อประคับประคองความรักของเธอให้อยู่รอด…
 
คนที่สี่…พวงแสด…พวงแสดเป็นน้องสาวของช้องนาง แต่ทั้งคู่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกันเพราะพ่อแม่ของเธอแยกทางกันตั้งแต่เธอยังเล็ก ๆ เธอมีบุคลิกและนิสัยใจคอที่แตกต่างกับช้องนางอย่างสิ้นเชิง…ด้วยเธอเป็นเด็กสาวที่ใส บริสุทธิ์และมองโลกในแง่ดี ถึงแม้เธอจะยังอ่อนเยาว์นัก แต่เธอก็มีความมั่นคงในอารมณ์พอที่จะเรียนรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย
 
คนที่ห้า…สุดท้าย…ปาริมา เด็กสาวที่มาจากครอบครัวแร้นแค้น เธอต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อมาทำงานหาเลี้ยงตัวเองและน้อง ๆ โชคดีที่เธอมีรูปโฉมเป็นใบเบิกทางให้เธอก้าวเข้าสู่แวดวงสังคมของคนอีกระดับหนึ่ง…แต่มันก็เกือบจะทำให้เธอก้าวถลำลงไปในวังวนมายาอันยากจะถอนตัวได้
 
นักแสดง เบญจรงค์ห้าสี พ.ศ. 2528
 
เดือนเต็ม สาลิตุล (มนสินี)
มยุรา ธนะบุตร (วาตี)
ดวงใจ หทัยกาญจน์ (ช้องนาง)
อุทุมพร ศิลาพันธ์ (ปาริมา)
อลิษา ขจรไชยกุล (พวงแสด)
นพพล โกมารชุน (ระพีพัฒน์)
ธงไชย แมคอินไตย์ (ชนายุ)
เป็นหนึ่ง ไชยชิต (ปัญจะ)
ชลิต เฟื่องอารมย์ (ณัฐการ)
อภิชาติ หาลำเจียก (ราวี)
จริยา สรณคม (เม้ย-เมธ์วดี)
วรายุฑ มิลินทจินดา (ไก่)
ด.ญ.ยศสินี ณ นคร (แป้งหอม)
และร่วมด้วย รัญญา ศิยานนท์

ปัญญาชนก้นครัว

ชะเอม หรือ เอมิกา คุณหนูคนเก่ง (เรื่องเรียนเท่านั้นนะ) ดันอยากได้ A วิชาการละครของอาจารย์เพี้ยน เพื่อเธอจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และได้ทุนไปทำปริญญาโทต่ออย่างแน่นอน

แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะปรัชญาการละครของ ดร.เพียรทิพย์ คือ “ศิลปะ (การละคร) เพื่อชีวิต” เพื่อการเข้าถึงบทบาทคนใช้ในละคร ทำให้จากคุณหนูต้องอุตริปลอมตัวไปเป็นคนใช้ และมันก็นำมาซึ่งเรื่องราววุ่นวายต่างๆ

ปัญญาชนก้นครัว

เอมิกา นักศึกษาเอกศิลปะการแสดงปีสุดท้าย ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ไม่ค่อยลงรอยกับ อภิเชษฐ์ เพื่อนร่วมคณะที่มักจะแสดงละครได้ดีกว่าเธอเสมอ นงลักษณ์ เพื่อนสนิทเอมิกาจึงเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธอ
อาจารย์เพี้ยน อาจารย์ประจำภาควิชาเขียนบท มีโปรเจคให้นักศึกษาเขียนบทละครเป็นวิชาสุดท้าย ซึ่งใครที่สามารถเขียนบทได้เกรด A จะได้ทุนไปทำปริญญาโทต่อที่ต่างประเทศ อภิเชษฐ์มีไอเดียเขียนบทเรื่องครูดอยเลยจะไปเป็นครูดอยจริง ๆ เอมิกาเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนใช้และเพื่อเอาชนะอภิเชษฐ์ เธอจึงตัดสินใจไปเป็นคนรับใช้บ้าง ทั้งที่เธอเป็นคุณหนูจ๋า และไม่เคยทำงานบ้านอะไรมาก่อนเลยในชีวิต

เอมิกาปลอมตัวไปเป็นคนรับ ใช้ที่บ้าน คุณชื่นฤทัย และบอกกับทุกๆคนว่าเธอชื่อ ชะเอม คืนแรกของการทำงานเอมิกาก็โดน จุ่น แอบถ้ำมองตอนเธออาบน้ำ จง พี่เลี้ยงคนสนิทของ อรวิลาศลูกสาวคุณชื่น คิดว่าเอมิกาให้ท่ากับจุ่นสามีเธอ สมพิศ หัวหน้าคนใช้จึงเข้ามาห้ามคนทั้งคู่ ทำให้จงไม่ชอบขี้หน้าเอมิกาขึ้นมาทันที

เอมิกาเกิดไปปิ๊ง ปลัดตั้ม หนุ่มหล่อขวัญใจอรวิลาศเข้า คนในบ้านไม่มีใครสงสัยเอมิกา ยกเว้นปลัดตั้มเพราะเอมิกามีท่าทางแปลกกว่าสาวใช้คนอื่นๆ ปลัดตั้มเลยต้องการพิสูจน์ว่าเอมิกาเป็นใครกันแน่ อรวิลาศไม่ชอบใจที่ปลัดตั้มไปวอแวกับชะเอม จึงหาทางไล่เอมิกาออกแต่คุณชื่นปรามไว้เพราะเอมิกาทำงานดีเป็นที่น่าพอใจ ปลัดตั้มต้องการจับผิดเอมิกาแต่ถูกเรียกไปรายงานตัวกับท่านผู้ว่าฯจ.ระยอง เสียก่อน ซึ่งท่านผู้ว่า ฯ อุทยาน ก็คือ พ่อของเอมิกานั่นเอง

ป่อง แฟนหนุ่มของเอมิกา เป็นห่วงเธอจึงปลอมตัวมาเป็นคนสวนบ้าน คุณแป๊ะ น้องชายคุณชื่นที่อยู่บ้านติดกัน ป่องกับเอมิกาเลยทำทีเป็นเพิ่งรู้จักกัน คุณแป๊ะเป็นเกย์เลยสนใจป่องเป็นพิเศษ เอมิกาแอบเก็บข้อมูลในบ้านโดยพูดอัดใส่เทปเล็กที่นักข่าวใช้สัมภาษณ์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเขียนบทละคร นาก เห็นเข้าเลยคิดจะเอามาเปิดฟัง ปลัดตั้มบังเอิญเดินมาเห็นเลยเอาเทปไปฟัง ข้อความในเทปเป็นเสียงเอมิกาพูดถึงความเคลื่อนไหวในบ้านคุณชื่นว่าเป็นอย่าง ไร ปลัดตั้มจึงปักใจเชื่อว่าเอมิกาเป็นสายโจร เลยแอบสะกดรอยตามเอมิกายามที่เธอออกไปข้างนอกบ้าน ช่วงที่เอมิกาต้องไปพบอาจารย์เพี้ยนเพื่อรายงานความคืบหน้าของบทละคร เอมิการู้ว่าโดนปลัดตั้มสะกดรอยตามก็เลยแอบเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในร้านอาหาร และหลอกปลัดตั้มสำเร็จ
ปลัดตั้มโกหกว่ากลับตราด เพื่อซ้อนแผนให้เอมิกาชะล่าใจไม่ทันระวังตัว และสะกดรอยตามเอมิกาไปจนถึงมหาวิทยาลัย แต่ก็คลาดกันอีกจนได้ ปลัดตั้มแอบถ่ายรูปเอมิกาไว้ในโทรศัทพ์มือถือแล้วถามกับเจ้าหน้าที่ตึกอักษร ศาสตร์ซึ่งพอเห็นรูป ก็จำได้ว่า…เป็นเอมิกาดาวคณะนั่นเอง ปลัดตั้มงงและสงสัยว่าชะเอมกับเอมิกาเป็นคนเดียวกันหรือไม่

อรวิลาศ มาเจอรูปเอมิกาในโทรศัพท์มือถือปลัดตั้มก็กรี๊ดลั่นบ้าน และจะไล่เอมิกาออกให้ได้ คุณชื่นไม่เชื่อว่าปลัดตั้มจะชอบคนใช้ อีกทั้งเอมิกายังช่วยปรนนิบัติรับใช้เธอเป็นอย่างดี คุณชื่นจึงไม่ยอมไล่ชะเอมออก อรวิลาศเลยเอาแหวนเพชรไปซ่อนในห้องเอมิกาเพื่อใส่ร้าย คุณชื่นให้สมพิศค้นห้องนอนชะเอม แต่กลับมาเจอโน้ตบุ๊คแทน เอมิกาโกหกว่าเก็บได้ที่ขนส่งหมอชิต ปลัดตั้มเลยยึดโน้ตบุ๊คไว้และอ้างว่าจะหาทางคืนเจ้าของให้เอง สมพิศไม่เจอแหวนเพชรในห้องเอมิกาแต่กลับไปเจอแหวนตกอยู่ในห้องอรวิลาศแทน อรวิลาศยิ่งไม่พอใจชะเอมเป็นอย่างมาก เลยร่วมมือกับจงกลั่นแกล้งเอมิกาทุกวิถีทาง
อรวิลาศหวังว่าเอมิกาจะทนไม่ ได้แล้วลาออกไปเองแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เอมิกาเห็นอรวิลาศตั้งหน้าตั้งตาแกล้งตนมาก ๆ จึงรู้ว่าเธอหึงปลัดตั้มนั่นเอง เอมิกากลับพอใจอยู่ลึก ๆ เพราะเธอก็ชอบปลัดตั้มเหมือนกัน

พีรพล สามีคุณชื่นที่เป็นอาแท้ ๆ ของปลัดตั้มเริ่มดูออกว่าปลัดตั้มแอบชอบชะเอม พีรพลบอกให้ปลัดตั้มทำใจ เพราะสาวใช้ย่อมเหมาะกับคนสวนอยู่วันยังค่ำ
ปลัดตั้มเปิดโน้ตบุ๊คเจอบท ละครหลายเรื่อง มิหนำซ้ำยังมีภาพเอมิกาในชุดนักศึกษา ปลัดตั้มจึงปักใจเชื่อว่าชะเอมกับเอมิกาน่าจะเป็นคนเดียวกัน ปลัดตั้มบังคับให้ชะเอมเอาโน้ตบุ๊คไปคืนเอมิกาที่มหาวิทยาลัย อาจารย์เพี้ยนเลยช่วยเอมิกาโกหกปลัดตั้มอีกว่าเอมิกาไม่มาเรียน

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ปลัดตั้มค่อนข้างมั่นใจว่าชะเอม กับ เอมิกา คือคนเดียวกัน แต่เอมิกาก็ปากแข็งไม่ยอมรับ ปลัดตั้มแกล้งเอมิกาอีกหลายหนโดยหลอกให้เอมิกากับชะเอมมาเจอกัน เอมิกาเหนื่อยมากกับการแปลงกายเป็นสองคน แต่ปลัดตั้มกลับชอบใจที่ได้แกล้งเอมิกา
ปลัดอมรมาหาปลัดตั้มที่บ้านเพื่อ ช่วยงานที่ท่านผู้ว่าฯ มอบหมายให้ ปลัดอมรเจอเอมิกาเข้าก็ตกใจ ที่ลูกสาวท่านผู้ว่าฯ เอมมาเป็นคนรับใช้ เธอจึงขอร้องไม่ให้ปลัดอมรบอกเรื่องนี้กับใคร ปลัดอมรรับปากเอมิกา ปลัดตั้มสังเกตว่าปลัดอมรมีลับลมคมนัยกับเอมิกา จึงแอบฟังเอมิกาคุยกับปลัดอมร ปลัดตั้มเข้าใจผิดคิดว่าเอมิกาเป็นเมียน้อยผู้ว่าฯ ปลัดอมรจะบอกความจริงแต่เอมิกาก็ห้ามไว้ ปลัดตั้มผิดหวังในตัวเอมิกาเป็นอย่างมาก ที่การศึกษาไม่ได้ช่วยให้เธอมีความคิดที่ดีขึ้นเลย เพราะยอมเป็นกระทั่งเมียน้อยท่านผู้ว่าฯ แล้วยังมีความสัมพันธ์กับคนสวนอย่างป่องอีก

ปลัดตั้มให้เอมิกาออกไป จากบ้านก่อนที่ทุกคนจะรู้ความจริง ปลัดตั้มไปดูเอมิกาเก็บของ ทำให้เอมิกาไม่มีโอกาสเอาบทละครที่เขียนไว้ไปด้วย เลยบอกให้ป่องหาทางไปเอาบทละครที่เธอซ้อนไว้ในห้องนอน ป่องแอบมาที่ห้องนอนเอมมิกา ปลัดตั้มมานั่งทอดอาลัยคิดถึงชะเอมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นป่องมาก็หลบคอยดูว่าป่องค้นหาอะไรกันแน่
ปลัดตั้มคิดว่าเอมิกาอาจ ซ่อนของอะไรไว้ นากบอกว่าอรวิลาศให้เก็บกวาดห้องเอมิกา จนไม่มีอะไรเหลือแล้วจะมีก็แต่กล่องใส่จดหมายที่นากแอบเก็บไว้ให้ชะเอม ซึ่งจดหมายในกล่องนั้นมันก็คือ บทละครชีวิตคนรับใช้ที่เอมิกาเขียนไว้ ปลัดตั้มจึงมีหลักฐานมัดตัวเอมิกา
คืนนั้นปลัดตั้มเอาบทละครของเอมิ กากลับไปนอนอ่านที่คอนโดส่วนตัว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันบ้านคุณชื่นถูกโจรขึ้นบ้าน

เอมิกากลายเป็นผู้ ต้องสงสัยหมายเลข 1 อรวิลาศยืนยันกับตำรวจว่าชะเอมต้องมีส่วนร่วมกับการปล้นในครั้งนี้เพราะหาย ตัวไปในวันที่โจรขึ้นบ้านพอดี ปลัดตั้มรู้แล้วว่าเอมิกาเป็นใคร และมั่นใจว่าเอมิกาไม่เกี่ยวข้องแต่พูดไม่ได้ จงเองก็หายตัวไปในคืนนั้นเช่นกัน ปลัดตั้มคิดว่าจงเป็นสายโจร อรวิลาศเถียงคอเป็นเอ็นเพื่อปกป้องจง

เอมิกาจะหลุดพ้นข้อกล่าวหา ของอรวิลาศเรื่องเป็นสายให้โจรได้หรือไม่ แล้วปลัดตั้มจะมีโอกาสได้พบกับเอมิกาหรือชะเอมอีกครั้งเพื่อปรับความเข้าใจ และบอกความรู้สึกของตัวเองกับ เอมิกาอีกครั้งหรือเปล่า… ติดตามชมได้ใน “ ปัญญาชนก้นครัว

นักแสดงละคร ปัญญาชนก้นครัว
แอน ทองประสม
ธนากร โปษยานนท์
เมทนี บูรณศิริ
เพ็ญเพชร เพ็ญกุล
อริศรา กำธรเจริญ
ดวงใจ หทัยกาญน์
ญานี จงวิสุทธิ์
อัจฉราพรรณ ไพบูรย์สุวรรณ
ปวันรัตน์ นาคสุริยะ
ดญ ลักษมี ทรัพย์ปรุง

ปัญญาชนก้นครัว 2531

ปัญญาชนก้นครัว เป็นเรื่องราวของ ชะเอม หรือ เอมิกา สาวน้อยคนเก่งที่โลกของเธอคือการแข่งขันกันในเรื่องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการละครของอาจารย์เพี้ยน ที่ถ้าเธอได้ A วิชานี้แล้วละก็ เธอจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และได้ทุนไปทำปริญญาโทต่ออย่างแน่นอน แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะปรัชญาการละครของ ดร.เพียรทิพย์ คือ “ศิลปะ (การละคร) เพื่อชีวิต” เพื่อการเข้าถึงบทบาทคนใช้ในละคร ทำให้เอมิกาต้องปลอมตัวไปเป็นคนใช้ และมันก็นำมาซึ่งเรื่องราววุ่นวายต่าง ๆ นานา

นักแสดง ปัญญาชนก้นครัว

ธนาภรณ์ รัตนเสน
สถาพร นาควิลัย
สุรศักดิ์ วงศ์ไทย
จามจุรี เชิดโฉม

น้ำใสใจจริง

น้ำใสใจจริง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความผูกพันของนักเรียน นักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกในรั้วมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ นอกกรุงเทพมหานคร แต่ละคนมาจากคนละที่ ต่างถิ่น ต่างความคิด และต่างนิสัย แต่ไม่มีวันทอดทิ้งกัน แม้ในยามเกิดปัญหา ความเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในยามทุกข์ยากก็คอยให้กำลังใจกัน ร่วมสุขร่วมทุกกัน มีความจริงใจมอบให้แก่กัน ก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคหรือปัญหามาด้วยกันได้

น้ำใสใจจริง 2537

น้ำใสใจจริง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความผูกพันของนักเรียน นักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกในรั้วมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ นอกกรุงเทพมหานคร แต่ละคนมาจากคนละที่ ต่างถิ่น ต่างความคิด และต่างนิสัย แต่ไม่มีวันทอดทิ้งกัน แม้ในยามเกิดปัญหา ความเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในยามทุกข์ยากก็คอยให้กำลังใจกัน ร่วมสุขร่วมทุกกัน มีความจริงใจมอบให้แก่กัน ก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคหรือปัญหามาด้วยกันได้

นักแสดง น้ำใสใจจริง 2537

ศรราม เทพพิทักษ์
แคทลียา อิงลิช

แต่ปางก่อน 2530

พ.ศ. 2490 “ราชาวดี” สาวน้อยวัย 17 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็ได้เดินทางมาที่โรงเรียนกุลนารี เพื่อสมัครเป็นครูตามความประสงค์ของมารดาที่ล่วงลับ ไปแล้ว “กาบทอง” อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนรับราชาวดีเข้าเป็นครูด้วยความเต็มใจ เพราะเธอกับแม่ของราชาวดีเคยรู้จักกันมาก่อน

นับแต่ก้าวแรกที่ ราชาวดีเหยียบย่างเข้ามาในเขตโรงเรียนซึ่งเป็นวังเก่าก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะเหมือนมีใครตามเธออยู่ห่าง ๆ และยิ่ง “ถวิล” เพื่อนสนิทของเธอเล่าถึงความน่ากลัว ของเสด็จในกรมฯ และท่านชายรังสิธรผู้เป็นโอรสและเจ้าของวัง ซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยิ่งทำให้ราชาวดีสนใจวังนี้มากขึ้นไปอีก คืนแรกที่ราชาวดีเข้าพัก เธอก็ได้ฝัน ถึงวังอันรโหฐาน และเพลงไทยเดิมที่ชื่อ “ลาวม่านแก้ว” อันแสนไพเราะ และชายหนุ่มที่เรียกเธอว่า “เจ้านางน้อย” แต่ไม่ทันได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นราชาวดี ก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน

ราชาวดี ต้องการหาคำตอบว่าสิ่งที่เธอฝันนั้นคืออะไร จึงแอบเข้าไปในวังซึ่งถูกทิ้งร้างมานานจนทรุดโทรม ที่นั่นราชาวดีได้พบกับ “จางวางจัน” ข้ารับใช้ ้เก่าแก่ของเสด็จในกรมฯ ราชาวดียิ่งแปลกใจมากขึ้น เมื่อจางวางจันเรียกเธอว่า “เจ้านางน้อย” เหมือนผู้ชายคนนั้นในฝันของเธอ

จางวาง จันชวน ราชาวดี ไปที่ ตำหนักริมน้ำแต่เธอปฏิเสธ ระหว่างเดินทางกลับราชาวดีรู้สึกเหมือนมีใครบางคนดึงดูดเธอให้ตามเขาไปโดย ไม่รู้ตัว ราชาวดีรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ายืนอยู่หน้าบ้าน สีขาว ราวบ้านในเทพนิยาย เธอรู้ทันทีว่านี่คือตำหนักริมน้ำที่จางวางจันชวนเธอมา กาบทองพาราชาวดีไป กราบหม่อม “พรรณราย” เจ้าของโรงเรียน ทำให้ได้ พบกับ “ม.ร.ว. จิรายุส” ลูกชายของหม่อมและ “สวรรยา” คู่หมั้น หม่อมพรรณรายประหลาดใจ ที่ราชาวดีหน้าตาเหมือนเจ้านางน้อยไม่มีผิดเพี้ยน เพราะตอนเด็กๆหม่อมเคยพบกับเจ้านางน้อย แต่ท่านก็ไม่ทราบรายละเอียดความเป็นมาของเจ้านางจากลาวผู้นี้มากนัก และดูเหมือนท่านจะไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตนี้ด้วย

ราชาวดีหาโอกาส ปลีกตัว ไปที่ตำหนักริมน้ำบ่อยครั้ง จนได้พบกับผู้ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนัก เธอรู้สึกสนิทคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน ชายคนนั้นให้ราชาวดี ดูรูปเจ้านางน้อยที่อยู่ใน ตำหนัก ทำให้ราชาวดีถึงกับหมดสติไป เพราะภาพที่เห็นช่างเหมือนตัวเธอราวคน ๆ เดียวกัน

เมื่อฟื้นจากสลบ ก็พบว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ปี พ.ศ.2453 ในสภาพเจ้านางน้อย ราชาวดีได้พบกับท่านชายใหญ่หรือ “ท่านชายรังสิธร” ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอ หมดสติไปอีกครั้ง เมื่อได้สติขึ้นมา คราวนี้ราชาวดีพบว่าตัวเองนอนสลบอยู่บนเตียง โดยมีบรรดาครูรุมล้อมด้วยความห่วงใย

ถวิลเล่าให้ราชาวดีฟังว่า จางวางจัน พบเธอนอนสลบอยู่ในสวนหน้าวัง ราชาวดีสารภาพว่าเธอแอบเข้าไปที่ตำหนักริมน้ำ ราชาวดีได้พบวิญญาณท่านชายใหญ่อีกครั้งในงานประจำปีของโรงเรียน โดยเธอได้บรรเลงไวโอลินเพลง “ลาวม่านแก้ว” ทำให้ท่านหญิงวิไลเรขา ป้าแท้ๆ ของจิรายุส ขวัญผวา เพราะก่อนหน้านั้นวิไลเรขาเคยเป็นคู่หมั้นของท่านชาย ใหญ่ตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่

แต่ท้ายที่สุดท่านชายใหญ่ก็ขอถอน หมั้นกับเธอ แล้วไปแต่งงานกับเจ้านางน้อย ส่วนเพลง “ลาวม่านแก้ว” เป็นเพลงที่ท่าน ชายใหญ่แต่งให้เจ้านางน้อย และถูกนำมาบรรเลงในวันแต่งงาน

วิไลเรขาเกลียดราชาวดีเพราะคิดว่าเป็นเจ้านางน้อยกลับชาติมาเกิดเพื่อจองเวรกับเธอ
ดัง นั้นวิไลเรขาจึงแกล้งให้ราชาวดีมาอยู่รับใช้ช่วงปิดเทอม ราชาวดีถูกวางยาให้ป่วยทีละน้อย เหมือนที่วิไลเรขาเคยทำกับเจ้านางน้อยในอดีต

จิรายุสนำตัวราชาวดี ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ซึ่งก็ทำให้วิไลเรขาโกรธมากจนป่วยหนัก ก่อนที่วิไลเรขาจะสิ้นลมเธอได้บังคับให้จิรายุสเต่งงานกับสวรรยา และหลังการแต่งงาน ทั้งคู่เกิดการทะเลาะกันใหญ่โตสวรรยา ทวงทุกสิ่งทุกอย่างจากชายหนุ่ม

หม่อมพรรณรายได้ยินทุกอย่างทำใจรับ ไม่ได้ท่านหัวใจวายทันที่แต่ก็ยังทันเห็นหน้าหลานชายคนเดียวก่อนเสีย จิรายุสเสียใจมากเพราะทั้งชีวิตเขาเหลือเพียงแม่คนเดียว เขาหย่าขาดจากสรรยาโดยเลี้ยงลูกชายเพียงคนเดียว คือ “จิราคม” ราชาวดีตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูแล้วกลับมาที่อุดรฯ โดยมี วิญญาณ ของท่านชายใหญ่ติดตามมาเป็นกำลังใจ กระทั่งคืนหนึ่งท่านชายได้มาบอกลาเธอ ราชาวดีเสียใจที่จะไม่ได้พบท่านชายแล้ว แต่ถ้าเป็นการ จากลาเพื่อ ได้พบกันใหม่ราชาวดีก็ยินดี จากนั้นเธอก็ตัดกิเลสทางโลกเข้าวัดบำเพ็ญกุศล ราชาวดีป่วยหนัก เมื่อถวิลไปเยี่ยมก็พบเพียงกาบทองมาเยี่ยมถวิลที่บ้านและได้พบกับอันตราก็ ถึงกับอึ้งไป เพราะอันตรามีหน้าตาเหมือนราชาวดีเหลือเกิน

อันตรา อาสามาส่งกาบทองที่บ้าน ทำให้เธอได้พบกับจิรายุส เมื่อจิรายุสได้พบอันตราก็รู้สึกเอ็นดู อันตราชอบตำหนักริมน้ำของจิรายุสมาก เธอพยายามขอ ซื้อแต่ ไม่สำเร็จ เพราะจิรายุสตั้งใจเก็บไว้มอบให้จิราคมในวันแต่งงาน อันตรามักจะไปที่ตำหนักริมน้ำบ่อย ๆ จนได้เจอจิราคม ทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ แล่นพล่านไปทั้งตัว อันตราตกใจรีบหนีออกมา แต่ทั้งคู่ก็ต้องมาพบกันอีกครั้งในงานราตรี จิราคมเดี่ยวเปียโนเพลง “ลาวม่านแก้ว” ซึ่งอันตราโปรดปรานมาก เพราะแม่ของเธอเคยร้องให้ฟังตอนเธอเด็ก ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จิรายุสไปทาบทามอันตรามาเป็นสะใภ้ พร้อมกับเปรยว่า การรอคอยของท่านชายใหญ่ และเจ้านางน้อยสมควรจะจบสิ้นลงได้แล้ว อุปสรรคต่าง ๆ ได้ผ่านพ้นไป ทั้งคู่เข้าสู่พิธีวิวาห์ และสัญญาต่อกันว่าจะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ท่ามกลางบรรยากาศหวานละมุนของเสียงเปียโน เพลง “ลาวม่านแก้ว” ที่จิราคมเซอร์ไพรส์เจ้าสาวในวันแต่งงาน

ออกอากาศทางช่อง 3 ระหว่าง เดือนมกราคม ถึง วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ 2530

แต่ปางก่อน พ.ศ. 2530 นำแสดงโดย

ฉัตรชัย เปล่งพานิช  (รังสิธร, จิราคม)
จริยา สรณะคม (ม่านแก้ว, ราชาวดี, อันตรา)
นพพล โกมารชุน (จิรายุส)
ดวงตา ตุงคะมณี (วิไลเลขา)
อุทุมพร ศิลาพันธ์ (สวรรยา)