Category Archives: ละครปี 2530

ทองเนื้อเก้า 2530

ทองเนื้อเก้า เรื่องราวของ ลำยอง หญิงสาวที่มีความสวยเป็นเสน่ห์ติดตัว มีผู้ชายมารุมล้อมรวมทั้ง สันต์ ทหารเรือที่มีจิตใจดี เมื่อทั้งคู่แต่งงานกัน ลำยองชอบขโมยของในร้านของพ่อ-แม่สามีไปไปให้ที่บ้าน กินเหล้าเมา ขี้เกียจ เมื่อมีลูกชาย วันเฉลิม ออกมา ลำยองก็ไม่ยอมเลี้ยงหอบกลับไปให้พ่อแม่ตัวเองเลี้ยง จนสุดท้ายสันต์ทนไม่ไหวจึงขอเลิก

หลังเลิกกับสามี ลำยอง ใช้ชีวิตแบบไร้สำนึก แต่งงานใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในสายตาของทุกคน ลำยองเป็นผู้หญิงที่เหลวแหลกยกเว้น วันเฉลิม ลูกชายยอดกตัญญู เขาทำทุกอย่างเพื่อทดแทนคุณแม่ แต่สุดท้าย ลำยอง ก็หมดโอกาสที่จะได้อยู่เป็นแม่ที่ดีของลูก เพราะจบชีวิตลงด้วยโรคร้าย

นักแสดง ทองเนื้อเก้า 2530

อภิรดี ภวภูตานนท์ – ลำยอง
โกวิท วัฒนกุล – สันต์
ดช. บอย เนติลักษณ์ – วันเฉลิม
จักรกฤช คชรัตน์ – วันเฉลิม
พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง – วันเฉลิมตอนโต

รางวัลเมขลา ผู้แสดงนำหญิงดีเด่น  ปี 2530 จากละคร ทองเนื้อเก้า
รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ดารานำหญิงดีเด่น ปี 2530 จากละคร ทองเนื้อเก้า

 

สารวัตรเถื่อน

สารวัตรเถื่อน สร้างเป็นภาพยนตร์ฟิล์มไทย เรื่องราวของ ตำรวจตงฉิน ถูกผู้มีอิทธิพลประจำอำเภอ กับลูกน้องถล่มด้วยปืนซะย่อยยับดับดิ้นต่อหน้าต่อตาจ่าเที่ยง  จ่าตงฉินเช่นกัน..แต่จ่าเที่ยงถึงจะเป็นตำรวจผู้น้อย เมื่อเวลาปฏิบัติหน้าที่กลับใจใหญ่เกินตัว ไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เภทภัยต่างๆ จึงกรู่เข้ามาทั้งจากผู้มีอิทธิพลและเพื่อนตำรวจทาสน้ำเงิน.. มีเพียงชายคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือจ่าเที่ยงจนพวกเหล่าร้ายต่างงงว่า เขาเป็นใคร..ชายคนนี้เองที่ถูกเรียกว่า สารวัตรเถื่อน

นักแสดง สารวัตรเถื่อน

ฉัตรชัย เปล่งพานิช แสดงเป็น ธนุส นิราลัย (นายยม)
พิศาล อัครเศรณี
วรรษมน วัฒโรดม
ภิชาติ หาลำเจียก
การันต์ กิตติราช
ปรัชญา อัครพล
ฐาปกรณ์ ดิษยะนันท์

ไฟเสน่หา

ครอบครัวอบอุ่น … ครอบครัวแตกแยก… ความรัก ความปรารถนา ศีลธรรม จรรยา ความถูกต้อง สิ่งใดบ้างที่ควรเลือก หากทุกอย่างไม่สามารถไปด้วยกันได้ …

ผู้กำกับ : อดุลย์ ดุลยรัตน์
ผลิตโดย :
เขียนบท : นันทนา วีระชน
บทประพันธ์ : นันทนา วีระชน

นักแสดงละคร ไฟเสน่หา

จารุณี สุขสวัสดิ์ (แสดงละครทีวีเรื่องแรก)
ชัยรัตน์ จิตรธรรม
นิรุตติ์ ศิริจรรยา
จริยา สรณคมน์
ดวงตา ตุงคะมณี

ปริศนา

ปริศนาเป็นลูกของพระวินิจมนตรีกับคุณนายสมรแต่ทางญาติฝ่ายพ่อไม่ยอมรับ เพราะปริศนาเกิดหลังจากที่พระวินิจมนตรีเสียไปแล้วถึง ๖ เดือน พระวินิจมนตรีกับคุณนายสมรมีบุตรี 4 คนคนแรกชื่อ อุบล ซึ่งแต่งงานกับสมศักดิ์ข้าราชการ สิรี ช่างตัดเสื้อฝีมือดีแต่อาภัพรัก อนงค์ หญิงสาวอ่อนหวานเรียบร้อย และ ปริศนา
 
ปริศนาอยู่กับอาที่อเมริกาจนโตได้กลับมากรุงเทพ ได้เจอกับประวิชคนสนิทของท่านพจน์ที่เที่ยวขับรถตามหาอนงค์ หญิงสาวที่แอบชอบตอนเจอที่หัวหิน พอเจอกับปริศนาประวิชเลยหันเหไปทางปริศนาเพราะเธอสวยและเก่งกว่า ปริศนาทำงานเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนของหม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี น้องสาวของ หม่อมเจ้าพจน์ปรีชา ท่านหญิงรัตน์และประวิชพูดถึงปริศนาบ่อยครั้งทำให้ท่านชายพจน์สนใจ และรู้จักกันในงานเต้นรำที่วังของท่านชายพจน์
 
เมื่อพบกัน ปริศนากับท่านชายพจน์แอบชอบกันลึกๆแต่ก็ไม่มีใครพูดออกไป จนประวิชขอให้ท่านชายพจน์ไปสู่ขอปริศนา ทำให้ปริศนาโกรธท่านชายพจน์มาก ประวิชมาขอให้อนงค์ช่วยเรื่องปริศนา ทำให้เขารู้ว่าอนงค์ชอบเขาอยู่ ความเห็นใจเกิดเป็นรัก ประวิชและอนงค์จึงเข้าใจกันและแต่งงานกัน อานนท์หนุ่มเจ้าสำราญกลับมาจากอเมริกา เกิดติดใจปริศนาเข้าอีกคนทำให้คนทั่วเมืองลือกันว่าทั้งสองจะแต่งงานกัน ส่วนท่านพจน์ก็ไปไหนมาไหนกับรตี ญาติผู้หญิง สาวที่ผู้ใหญ่หมายจะให้แต่งงานกัน ยิ่งทำให้ทั้งสองผิดใจกันมากขึ้น ท่านชายพจน์เสียใจมากเพราะเข้าใจว่าปริศนาไม่รักตนจึงล้มป่วยอาการหนักมาก และ อาจไม่รอด ปริศนาเสียใจและรู้ว่ารักท่านชายพจน์มาก หลังจากที่ท่านชายพจน์อาการดีขึ้นจึงมาเยี่ยมที่วังและปรับความเข้าใจกัน สุดท้ายทั้งสองก็แต่งงานกัน

บ้านทรายทอง 2530

พจมาน เด็กสาวผู้มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและชาติกำเนิดของตน แม้จะเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาก็ตาม เธอจำเป็นต้องจากบ้านสวนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือต่อ ตามความประสงค์ของบิดาที่เขียนสั่งไว้ก่อนเสียชีวิต ให้พจมานไปอาศัยอยู่กับครอบครัวหม่อมพรรณราย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อที่บ้านทรายทอง เธอถูกกลั่นแกล้งตั้งแต่เข้ามาอยู่ โดยมีหม่อมแม่และคุณหญิงเล็กน้องสาวของชายกลาง รวมถึงคนรับใช้ทุกคนในบ้านคอยแกล้งเธอ ชายกลางสงสาร และให้คุณหญิงใหญ่พี่สาวคนโตคอยช่วยเหลือ และพจมานก็คอยดูแลเอาใจใส่น้องชายคนเล็กของชายกลางที่เป็นง่อย เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เข้มแข็งอดทนมีจิตใจที่ดีงาม จนสามารถเอาชนะใจของชายกลาง และอีกหลายๆ คน จนเป็นผลสำเร็จ จนทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในที่สุด

แต่ปางก่อน 2530

พ.ศ. 2490 “ราชาวดี” สาวน้อยวัย 17 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็ได้เดินทางมาที่โรงเรียนกุลนารี เพื่อสมัครเป็นครูตามความประสงค์ของมารดาที่ล่วงลับ ไปแล้ว “กาบทอง” อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนรับราชาวดีเข้าเป็นครูด้วยความเต็มใจ เพราะเธอกับแม่ของราชาวดีเคยรู้จักกันมาก่อน

นับแต่ก้าวแรกที่ ราชาวดีเหยียบย่างเข้ามาในเขตโรงเรียนซึ่งเป็นวังเก่าก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะเหมือนมีใครตามเธออยู่ห่าง ๆ และยิ่ง “ถวิล” เพื่อนสนิทของเธอเล่าถึงความน่ากลัว ของเสด็จในกรมฯ และท่านชายรังสิธรผู้เป็นโอรสและเจ้าของวัง ซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยิ่งทำให้ราชาวดีสนใจวังนี้มากขึ้นไปอีก คืนแรกที่ราชาวดีเข้าพัก เธอก็ได้ฝัน ถึงวังอันรโหฐาน และเพลงไทยเดิมที่ชื่อ “ลาวม่านแก้ว” อันแสนไพเราะ และชายหนุ่มที่เรียกเธอว่า “เจ้านางน้อย” แต่ไม่ทันได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นราชาวดี ก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน

ราชาวดี ต้องการหาคำตอบว่าสิ่งที่เธอฝันนั้นคืออะไร จึงแอบเข้าไปในวังซึ่งถูกทิ้งร้างมานานจนทรุดโทรม ที่นั่นราชาวดีได้พบกับ “จางวางจัน” ข้ารับใช้ ้เก่าแก่ของเสด็จในกรมฯ ราชาวดียิ่งแปลกใจมากขึ้น เมื่อจางวางจันเรียกเธอว่า “เจ้านางน้อย” เหมือนผู้ชายคนนั้นในฝันของเธอ

จางวาง จันชวน ราชาวดี ไปที่ ตำหนักริมน้ำแต่เธอปฏิเสธ ระหว่างเดินทางกลับราชาวดีรู้สึกเหมือนมีใครบางคนดึงดูดเธอให้ตามเขาไปโดย ไม่รู้ตัว ราชาวดีรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ายืนอยู่หน้าบ้าน สีขาว ราวบ้านในเทพนิยาย เธอรู้ทันทีว่านี่คือตำหนักริมน้ำที่จางวางจันชวนเธอมา กาบทองพาราชาวดีไป กราบหม่อม “พรรณราย” เจ้าของโรงเรียน ทำให้ได้ พบกับ “ม.ร.ว. จิรายุส” ลูกชายของหม่อมและ “สวรรยา” คู่หมั้น หม่อมพรรณรายประหลาดใจ ที่ราชาวดีหน้าตาเหมือนเจ้านางน้อยไม่มีผิดเพี้ยน เพราะตอนเด็กๆหม่อมเคยพบกับเจ้านางน้อย แต่ท่านก็ไม่ทราบรายละเอียดความเป็นมาของเจ้านางจากลาวผู้นี้มากนัก และดูเหมือนท่านจะไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตนี้ด้วย

ราชาวดีหาโอกาส ปลีกตัว ไปที่ตำหนักริมน้ำบ่อยครั้ง จนได้พบกับผู้ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนัก เธอรู้สึกสนิทคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน ชายคนนั้นให้ราชาวดี ดูรูปเจ้านางน้อยที่อยู่ใน ตำหนัก ทำให้ราชาวดีถึงกับหมดสติไป เพราะภาพที่เห็นช่างเหมือนตัวเธอราวคน ๆ เดียวกัน

เมื่อฟื้นจากสลบ ก็พบว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ปี พ.ศ.2453 ในสภาพเจ้านางน้อย ราชาวดีได้พบกับท่านชายใหญ่หรือ “ท่านชายรังสิธร” ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอ หมดสติไปอีกครั้ง เมื่อได้สติขึ้นมา คราวนี้ราชาวดีพบว่าตัวเองนอนสลบอยู่บนเตียง โดยมีบรรดาครูรุมล้อมด้วยความห่วงใย

ถวิลเล่าให้ราชาวดีฟังว่า จางวางจัน พบเธอนอนสลบอยู่ในสวนหน้าวัง ราชาวดีสารภาพว่าเธอแอบเข้าไปที่ตำหนักริมน้ำ ราชาวดีได้พบวิญญาณท่านชายใหญ่อีกครั้งในงานประจำปีของโรงเรียน โดยเธอได้บรรเลงไวโอลินเพลง “ลาวม่านแก้ว” ทำให้ท่านหญิงวิไลเรขา ป้าแท้ๆ ของจิรายุส ขวัญผวา เพราะก่อนหน้านั้นวิไลเรขาเคยเป็นคู่หมั้นของท่านชาย ใหญ่ตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่

แต่ท้ายที่สุดท่านชายใหญ่ก็ขอถอน หมั้นกับเธอ แล้วไปแต่งงานกับเจ้านางน้อย ส่วนเพลง “ลาวม่านแก้ว” เป็นเพลงที่ท่าน ชายใหญ่แต่งให้เจ้านางน้อย และถูกนำมาบรรเลงในวันแต่งงาน

วิไลเรขาเกลียดราชาวดีเพราะคิดว่าเป็นเจ้านางน้อยกลับชาติมาเกิดเพื่อจองเวรกับเธอ
ดัง นั้นวิไลเรขาจึงแกล้งให้ราชาวดีมาอยู่รับใช้ช่วงปิดเทอม ราชาวดีถูกวางยาให้ป่วยทีละน้อย เหมือนที่วิไลเรขาเคยทำกับเจ้านางน้อยในอดีต

จิรายุสนำตัวราชาวดี ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ซึ่งก็ทำให้วิไลเรขาโกรธมากจนป่วยหนัก ก่อนที่วิไลเรขาจะสิ้นลมเธอได้บังคับให้จิรายุสเต่งงานกับสวรรยา และหลังการแต่งงาน ทั้งคู่เกิดการทะเลาะกันใหญ่โตสวรรยา ทวงทุกสิ่งทุกอย่างจากชายหนุ่ม

หม่อมพรรณรายได้ยินทุกอย่างทำใจรับ ไม่ได้ท่านหัวใจวายทันที่แต่ก็ยังทันเห็นหน้าหลานชายคนเดียวก่อนเสีย จิรายุสเสียใจมากเพราะทั้งชีวิตเขาเหลือเพียงแม่คนเดียว เขาหย่าขาดจากสรรยาโดยเลี้ยงลูกชายเพียงคนเดียว คือ “จิราคม” ราชาวดีตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูแล้วกลับมาที่อุดรฯ โดยมี วิญญาณ ของท่านชายใหญ่ติดตามมาเป็นกำลังใจ กระทั่งคืนหนึ่งท่านชายได้มาบอกลาเธอ ราชาวดีเสียใจที่จะไม่ได้พบท่านชายแล้ว แต่ถ้าเป็นการ จากลาเพื่อ ได้พบกันใหม่ราชาวดีก็ยินดี จากนั้นเธอก็ตัดกิเลสทางโลกเข้าวัดบำเพ็ญกุศล ราชาวดีป่วยหนัก เมื่อถวิลไปเยี่ยมก็พบเพียงกาบทองมาเยี่ยมถวิลที่บ้านและได้พบกับอันตราก็ ถึงกับอึ้งไป เพราะอันตรามีหน้าตาเหมือนราชาวดีเหลือเกิน

อันตรา อาสามาส่งกาบทองที่บ้าน ทำให้เธอได้พบกับจิรายุส เมื่อจิรายุสได้พบอันตราก็รู้สึกเอ็นดู อันตราชอบตำหนักริมน้ำของจิรายุสมาก เธอพยายามขอ ซื้อแต่ ไม่สำเร็จ เพราะจิรายุสตั้งใจเก็บไว้มอบให้จิราคมในวันแต่งงาน อันตรามักจะไปที่ตำหนักริมน้ำบ่อย ๆ จนได้เจอจิราคม ทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ แล่นพล่านไปทั้งตัว อันตราตกใจรีบหนีออกมา แต่ทั้งคู่ก็ต้องมาพบกันอีกครั้งในงานราตรี จิราคมเดี่ยวเปียโนเพลง “ลาวม่านแก้ว” ซึ่งอันตราโปรดปรานมาก เพราะแม่ของเธอเคยร้องให้ฟังตอนเธอเด็ก ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จิรายุสไปทาบทามอันตรามาเป็นสะใภ้ พร้อมกับเปรยว่า การรอคอยของท่านชายใหญ่ และเจ้านางน้อยสมควรจะจบสิ้นลงได้แล้ว อุปสรรคต่าง ๆ ได้ผ่านพ้นไป ทั้งคู่เข้าสู่พิธีวิวาห์ และสัญญาต่อกันว่าจะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ท่ามกลางบรรยากาศหวานละมุนของเสียงเปียโน เพลง “ลาวม่านแก้ว” ที่จิราคมเซอร์ไพรส์เจ้าสาวในวันแต่งงาน

ออกอากาศทางช่อง 3 ระหว่าง เดือนมกราคม ถึง วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ 2530

แต่ปางก่อน พ.ศ. 2530 นำแสดงโดย

ฉัตรชัย เปล่งพานิช  (รังสิธร, จิราคม)
จริยา สรณะคม (ม่านแก้ว, ราชาวดี, อันตรา)
นพพล โกมารชุน (จิรายุส)
ดวงตา ตุงคะมณี (วิไลเลขา)
อุทุมพร ศิลาพันธ์ (สวรรยา)

เจ้าชายดำรงฤทธิ์

หาข้อมูลเพิ่ม