หัวใจหนึ่ง…หยิ่ง ทระนง เกินกว่าจะกล่าวว่ารักออกมาได้ อีกหัวใจหนึ่งก็ดุจเดียวกัน รักและรอคอยคำรัก โดยมิยอมเอ่ยปากก่อน แม่ไม่มีคำว่ารักจากฝ่ายใด หากใจสองดวงต่างรับรู้…ละไออุ่นแห่งรักอบอวลอยู่ในใจเสมอมา วิศรุตกระชับร่างที่ยืนชิดอยู่เคียงกับเขาแน่นขึ้น อาการกระตุกกระติกเหมือนแมวขืนตัวของร่าง เล็ก ๆ ในอ้อมแขนทำให้วิศรุตถึงแก่กลั้นยิ้ม ยิ่งนึกไปถึงคืนแรกที่พบกันยิ่งทำให้หวามใจแล้วเลยแกล้งรักให้กระชับเข้ามา อีก ดูทีหรือจะว่ากระไร ท่าทางขืนตัวเป็นเด็ก ๆ ยามไม่พอใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้โอบกระชับยิ่งได้ใจกลับกอดรัดไว้แน่น จนลมหายใจกรุ่นละมุนอยู่รอบใด ๆ วงหน้างามนั้น แม้ปากจะไม่กล่าววาจาใด หล่อนเท่านั้นที่รู้ว่ามีความสุขและสมหวังเพียงไร พลับพลึง…อา…ในที่สุด เจ้าก็สมปรารถนา อันเป็นที่สุดแห่งความปรารถนา ของใจเจ้าเหลือเกิน เจ้าดอกพลับพลึงที่ไร้ค่า ที่ให้ฉันได้ขอยืมชื่อของเจ้ามาประดับเป็นเครื่องหมาย…รู้กันระหว่างฉัน กับเขา หัวใจของเราหลอมรวมเป็นดวงเดียวกัน โดยอาศัยกระแสจิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เปี่ยมด้วยความรักเป็นเครื่องเชื่อม จะมีอะไรที่เป็นสุขประสงค์ยิ่งกว่านี้อีกเล่า! เธอจะเป็นใครมาจากไหน แม้แต่ชื่อเสียงของเจ้าหล่อนเขาก็ไม่เคยสนใจไต่ถาม เขารู้เพียงว่า เธอเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์น่ารักนัก เธอคือพลับพลึงผู้อ่อนหวาน แฝงด้วยความดื้อ ถือดีนิด ๆ แต่มีเหตุผล เธอทำให้เขา ‘วิศรุต มรุพงศ์’ ได้สัมผัสกับความอบอุ่นสดชื่นอีกครั้ง หัวใจของเราหลอมรวมเป็นดวงเดียวกัน โดยอาศัยกระแสจิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง และในวันนี้ พร้อมที่จะศิโรราบให้กับ ‘ความรัก’ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำของคืนเดือนแรม ร่างน้อย ๆ ร่างหนึ่ง ของตัวซุกอยู่ใต้เงาใบหนาของกอพลับพลึงใหญ่ ร่างนั้นสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเย็น นัยน์ตาประดุจกวางน้อยๆ หวาดกลัวและตื่นภัยคุกคาม เพียงแรกที่พานพบ และประจักษ์ในทุกส่วนสัดแห่งร่างนั้นชัดเจน ประสาททุกส่วนของเขาต้องชาดิก…นางไม้จำแลงมาหลอกหลอนหรือไฉน
พลับพลึงสีชมพู
Leave a reply